ผมยังจำได้ดี..ตอนที่ผมเขียนไดอารี่แรกๆสมัยตอนเป็นเด็ก ผมมักจะขึ้นต้นว่า..
วันนี้ฉันตื่น 6.35 น.ไปแปรงฟัน อาบน้ำและกินอาหารเช้า แล้วก็ไปโรงเรียน
ตอนเย็นกลับมาบ้าน กินข้าว อาบน้ำ แล้วแม่ก็ให้ไปนอน..ระหว่างคำว่าอาบน้ำ
กับคำว่าแม่ ผมก็กากบาทไว้ตรงวรรคด้วยว่าทำการบ้านแล้วด้วย...กอไก่งี้ตัวเบ้อเร่อเท่อ
และก็สะกดคำผิดๆถูกๆ พอพลิกไปอ่านเดือนถัดๆไป ..ฉันตื่นเช้ากว่าเมื่อวาน
อีกตั้ง 5 นาที อาบน้ำเสร็จก็แปรงฟัน..ไปโรงเรียนเหมือนเดิม
ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ก็มีคำ ที่แตกต่างออกไป อ่านแล้วก็นึกขำตัวเอง..
แต่ผมก็ได้เขียน..และเขียนอยู่เรื่อยๆมา..
ทำไมถึงมีเรื่องราวมากมาย คงเพราะวันหนึ่งๆ มีเรื่องราวตั้งหลายอย่าง นอกจากอาบน้ำ
แปรงฟัน ยังมีเรื่องราวจากตัวเราเองและคนที่อยู่รอบข้าง คงเพราะผมเป็นคนมองอะไร
แล้วเป็นเรื่องไปหมด ไม่ใช่หมายถึงไปกวนไปเกเรพาลหาเรื่องอะไรแบบนั้น แต่เป็นเรื่องราว
ที่บางครั้งมองแล้วช่างแสนเศร้า อยู่เงียบๆ เหงาๆ ก็เป็นเรื่องหละ เอาวันเก่าๆกลับมาร่วม
กับวันนี้..ก็ทำให้รู้สึกคลายเหงาไปได้บ้าง..บางเรื่องราวก็แสนสนุก เรื่องเล็กน้อยที่บางที
เราก็ลืมไปแล้ว..ทั้งเรื่องห่ามๆ บ้าๆ..ที่เคยทำ..สมัยเรียนมัธยม..เรื่องเพี้ยนสุดขีด
สมัยอยู่กับเพื่อนพ้อง หรือแม้แต่เด็กสาวคนแรก ที่ทำให้รู้จักรัก..ถ้าเราไม่หวลคิดถึง
เราก็ลืมไปหมด เลือนลางไปกับวันเวลา และหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
ผมโชคดีที่ได้เขียนไดอารี่.......
มาตลอด คงเพราะความจำไม่ค่อยดี ก็เลยต้องจดๆเขียนๆบันทึกไว้กันลืม..ขนาดจดแล้ว
บางทีก็ยังมาคิดว่า..ไอ้ตอนโดดเรียน ข้ามกำแพงแล้วถูกเหล็กดัดเกี่ยวกางเกงขาด
เห็นก้นขาวๆ มันตอนไหนหว่า..'แต่พอค่อยๆ มาร้อยเรียงเรื่องราวดู
"อ๋อ!!!" ตอนนั้นนั่นเอง ...แล้วผมก็ยิ้มได้..
และที่พบกับเด็กสาวคนนั้น..มาถึงวันนี้ก็รู้ว่า..มันเป็นอะไรที่เด็กๆเหลือเกิน ก็ได้แต่อมยิ้ม
ไดอารี่..จึงเป็นเหมือนภาพเล็กใหญ่ร้อยเรียงความรู้สึก อย่างน้อยก็เป็นที่ระบาย
ความในใจ..และไม่ต้องห่วงว่าใครจะอ่าน...เพราะมันเป็นไดอารี่ของเราเอง เพียงแต่ใน
โลกทุกวันนี้เราอาจต้องแชร์ประสบการณ์กัน..แชร์ความรู้สึกดีๆ แชร์กระทั่งรอยยิ้ม
และเสียงหัวเราะ..และนี่อาจเป็นทางเล็กๆ ทางหนึ่ง..ที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุข
ในวันนั้น..ยังอยู่..มาถึงวันนี้...ที่ได้อ่านและเขียน..ไดอารี่....