ตอนที่ 1
“ผมอยากได้ที่ตรงนั้น คุณไปเจรจายังไงก็ได้ ให้เจ้าของไร่เขาขายที่ให้เรา ถึงจะจ่ายแพงกว่าเจ้าอื่นผมก็
ยอม บริเวณรอบที่แถวนั้นเป็นร้อยๆไร่ เราก็ได้มาหมดแล้วเหลือแค่นี้เอง จะยากอะไรจริงไหมคุณประวิทย์ ”
“แต่ท่านครับผมว่างานนี้คงลำบากหน่อย เพราะว่าเราไม่สามารถติดต่อเจ้าของไร่ได้ คนที่ดูแลไร่ตอนนี้ก็บอกไม่
ทราบว่าเจ้าของไร่อยู่ไหน”
“คุณประวิทย์ไร่เคียงดอยมันตั้งอยู่ในจุดที่สวยที่สุดของเขาลูกนั้น เด่นที่สุด บริเวณรอบๆ ที่เราได้มาเป็นร้อยๆไร่
มันคงมีประโยชน์ไม่มากถ้าเราไม่สามารถเอาที่ตรงนั้นมาได้ ผมคิดว่าคุณเองก็รู้ดี”
“ครับผมทราบดี แต่ผมก็ยังคิดว่าเราสามารถ ที่จะใช้ประโยชน์ได้มากจากที่ๆเรามีอยู่ในตอนนี้ ถึงเราจะไม่สามารถ
ได้ที่แปลงนั้นมาก็ตาม ที่ๆเรามีอยู่ผมว่ามันก็สวยไม่น้อยทีเดียว”
“แต่ผมต้องการที่ตรงนั้น ไร่เคียงดอยจะต้องเป็นของเรา ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง คุณจะต้องจัดการให้เรียบ
ร้อย เอาล่ะตอนนี้ผมมีประชุม ขอให้คุณไปดำเนินการให้สำเร็จ”
“ ครับท่าน”
ประวิทย์ตอบรับอย่างนอบน้อม และรีบออกจากห้องในทันที เขารู้สึกหนักใจมากทีเดียวกับโครงการนี้ ผู้ชายอายุห้า
สิบต้นๆ อย่างเขาแม้ประสบการณ์ในการทำงานจะสูง แต่บางครั้งพลังในการต่อสู้ที่มีก็ลดน้อยถอยลงไปได้เหมือนกัน
เพราะอุปสรรค์ที่มากมาย จะดีหน่อยก็ตรงที่เงินเดือนสูงสวัสดิการดีนี่แหละ ที่ยังเป็นสิ่งจูงใจอยู่ เจ้านายเองก็ให้
ความไว้เนื้อเชื่อใจ แต่งานนี้สิไม่ใช่ง่ายๆเลย เหลือนิดเดียวเท่านั้น แค่นี้เอง มองเห็นเส้นชัยอยู่แค่เอื้อม แต่
เหมือนวิ่งไม่ถึงสักทีหลายครั้งที่เขาพยายามติดต่อเพื่อซื้อที่ไร่แปลงนี้แต่ก็ไร้ผลมาตลอด เขาไม่สามารถติดต่อขอ
พบเจ้าของบ้านได้ โครงการก็เดินหน้าไปไกลเกินกว่าจะถอยหลังได้เสียแล้ว สงสัยงานนี้คงต้องการันตีด้วย
ตำแหน่งผู้จัดการเสียแล้ว คิดแล้วก็ไม่รู้สึกดีขึ้นมาเลย มีแต่ถอนใจมากขึ้นเท่านั้น
“สวัสดีค่ะป้าจันทร์สบายดีรึเปล่าคะ”
“คุณสายชล ในที่สุดคุณก็โทรมา รู้ไหมคะป้ารอโทรศัพท์คุณทุกวันเลย ป้าไม่ค่อยสบายใจตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนหรือคะ”
“ก็อยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใกล้ไม่ไกล”ปลายสายมีเสียงหัวเราะเบาๆ
“ โธ่คุณคะยังสนุกอีก คุณไปนานแล้วก็ไม่ติดต่อมาเลย”
“ทำไมจ๊ะป้าจันทร์หรือว่าที่ไร่มีปัญหาอะไร”
“ตอนนี้ที่ไร่กำลังมีปัญหาค่ะ พวกนายทุนกำลังพยายามติดต่อ จะมาซื้อที่ของเรา และที่ๆอยู่ติดกับที่ของเรา ก็
โดนกว้านซื้อไปเกือบจะหมดแล้วนะคะ” ป้าจันทร์รายงานถึงปัญหาที่หนักใจกับเจ้านาย
“เฮ้อ ทำไมนะคนเราจึงไม่รู้จักพอสักที ฉันเกลียดที่สุดเลยพวกที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว จนไม่นึกถึงความเดือด
ร้อนของคนอื่น ป้าจันทร์สบายใจได้นะอีกไม่เกินสามวัน ฉันกลับไร่แน่ค่ะ ขอเคลียร์เรื่องงานให้เรียบร้อยก่อน แค่นี้
ก่อนนะจ๊ะป้า หวัดดีจ๊ะ”
หลังจากเสร็จธุระกับป้าจันทร์ซึ่งเป็นแม่บ้านดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างภายในบ้านไร่เคียงดอย
สายชล ก็หันมาใส่ใจกับงานตรงหน้าต่อไป การวาดภาพเป็นงานที่เธอรักมาก งานที่เธอทำด้วยหัวใจ ทุกครั้งที่
เธอวาดภาพสมาธิของเธอจะไม่เคยวอกแวก มันทำให้ลืมเรื่องวุ่นวายต่างๆมากมายก็เพราะวาดภาพโดยใช้ใจและ
ด้วยจิตวิญญาณทั้งหมดที่มีจึงทำให้ใครต่อใครที่ได้ชื่นชมภาพฝีมือสายชลเป็นต้องรู้สึกต้องมนต์เหมือนเข้าไปเป็น
ส่วนหนึ่งของภาพเมื่อมอง ภาพเขียนของสายชลจึงติดอันดับต้นๆในบรรดาศิลปินวาดภาพชั้นนำของประเทศ จน
แทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นฝีมือศิลปินรุ่นใหม่ นี่คือสิ่งที่สายชลรู้สึกภูมิใจมาก และจากผลงานที่ยอดเยี่ยมทำให้ภาพของ
สายชลได้รับรางวัลพิเศษหลายชิ้น เป็นสิ่งที่ทำให้ชื่อเสียงของสายชล ศิลปินนักวาดภาพฝีมือดีเป็นที่รู้จัก ถึง
กระนั้นสายชลกลับทำตัวขัดแย้งสวนทางกับชื่อเสียง ลึกลับหาตัวยาก ทุกครั้งที่ได้รับเชิญในงานต่างๆ ก็จะมีเพียงตัว
แทนของสายชลเท่านั้นที่ทำหน้าที่นี้ เธอมีความสุขกับการใช้ชีวิตส่วนตัวที่เรียบง่าย พอใจจะเดินทางไปไหนเพื่อ
สร้างสรรค์งานศิลปะก็ไป จนได้รับฉายาว่า ศิลปินลึกลับเธอภาคภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองได้รับมากเพราะกว่าจะได้มามัน
ช่างยากลำบากเหลือเกินกว่าที่เธอจะค้นหาความเป็นตัวของตัวเอง ค้นพบในสิ่งที่ตนเองชอบและรัก จนครอบครัว
ยอมรับได้ ต้องอดทนและใช้เวลาให้เป็นเครื่องพิสูจน์ มาวันนี้ผลตอบแทนอันคุ้มค่าไม่ว่าจะเป็น ชื่อเสียง เงิน
ทอง ความสุข ความสุขอันเกิดจาก การได้ทำงานที่ตนรัก ได้ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คน
ธรรมชาติ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ให้กับตัวเอง ใครก็ตามที่ได้ทำงานที่ตนเองรักก็คงรู้สึกเช่นนี้ทุก
คน และยิ่งประสบความสำเร็จด้วยแล้วจะยิ่งภูมิใจแค่ไหนสายชลบอกตนเองเช่นนี้เสมอ ความภาคภูมิใจในตัวเอง
ฉายชัดบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอิ่มใจ ถึงแม้จะอดกังวลไม่ได้ในเรื่องบ้านไร่เคียงดอย ก็ได้แต่ให้กำลังใจตัว
เอง คงไม่มีอะไรร้ายแรงอย่างที่คิด และหลังจากเคลียร์งานทุกอย่างเรียบร้อยนำภาพทั้งหมดไปจัดแสดงที่แกลรอลี่
ของเธอเองที่กรุงเทพเรียบร้อยแล้วก็จะเดินทางกลับไร่ทันที ซึ่งครั้งนี้เธอต้องอยู่ดูแลจนทุกอย่างเรียบร้อย ถึงจะได้
มีโอกาสเดินทางอีกครั้ง
เที่ยงคืนของต้นฤดูหนาวอากาศกำลังสบายๆ เพราะเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว บรรยากาศรอบ
บ้านมืดสนิท สายชลกระชับเสื้อคลุมไหล่ยิ่งขึ้น เพราะเริ่มสัมผัสกับหมอกเย็นนานเท่าไหร่แล้ว เจ้าตัวก็ไม่ได้ใส่ใจ
กับกริยายืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน สายตาเพ่งมองไปเบื้องหน้าเหมือนพยายามมอง ให้ทะลุความมืดเพื่อหาอะไร
สักอย่าง และภาพแห่งอดีตก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ เป็นภาพของเด็กหญิงตัวเล็กๆ อายุสี่ขวบ ที่นั่งเล่นขีดเขียน
อะไรต่างๆ ไปตามจินตนาการ ตามมุมต่างๆของบ้าน มีเธออยู่ในทุกๆที่ของความทรงจำ เด็กหญิงในวัยแห่งการ
เรียนรู้วัยแห่งการอยากรู้อยากเห็น ต้องการความใกล้ชิดความอบอุ่นจากพ่อแม่ แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนเธอถูกทอด
ทิ้ง ด้วยความจำเป็นในบางอย่างที่เธอไม่อาจเข้าใจด้วยวัยเพียงแค่นั้น มีเพียงคุณตาและคุณยายที่คอยดูแลให้
ความรักความอบอุ่นแก่หลานน้อยของท่าน ด้วยความรักและความสงสาร
อยากชดเชยในสิ่งที่เธอขาดหายไป ทำทุกอย่าง เอาอกเอาใจไม่เคยขัด เหมือนเป็นเจ้าหญิงองค์น้อยองค์หนึ่ง ทุก
ครั้งที่คุณพ่อและคุณแม่เดินทางมาหาเธอ เธอจะดีใจและมีความสุขมาก เหมือนโลกทั้งโลกเป็นของเธอ แต่ทุก
ครั้ง เพียงไม่นานท่านก็จะรีบร้อนจากไปเธอไม่เคยเข้าใจในความจำเป็นเหล่านั้นเลย รู้เพียงว่า เสียใจ และน้อยใจ
อย่างมากมาย เหมือนกับโดนทอดทิ้ง ทำให้เด็กหญิงสายชลกลายเป็นเด็กที่ช่างคิด ช่างฝัน เต็มไปด้วยจิตนา
การต่างๆ มีโลกของตัวเอง จวบจนเมื่อโตขึ้น สามารถเข้าใจเหตุผลต่างๆ ของผู้ใหญ่ได้จึงได้รู้ถึงความจำเป็นของ
พ่อแม่ แต่ช่วงที่สำคัญของชีวิตที่ผ่านมามันได้หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นคนแบบนี้ไปเสียแล้ว
“คุณชลคะ”
อ้าวป้ายังไม่นอนอีกหรือจ๊ะ” เสียงถามแผ่วเบา
“ป้าเอานมร้อนมาให้ค่ะ”
“ขอบใจจ๊ะป้า ป้าจันทร์ไปนอนเถอะ ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันกำลังใช้ความคิดนิดหน่อยเดี๋ยวก็นอนแล้วล่ะ”
“เอ่อ ป้าลืมไปค่ะ ว่าจะขึ้นมาเรียนคุณชลว่า เมื่อกี้คุณพ่อกับคุณแม่โทรมาค่ะ”
“เหรอจ๊ะแล้วท่านว่ายังไงบ้าง” น้ำเสียงตื่นเต้นขึ้นมาทันที ใบหน้าที่แลดูเรียบเฉย พลันก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใส
“ท่านถามถึงคุณชลค่ะ คือ ป้าคิดว่าคุณหลับแล้ว เมื่อกี้ขึ้นมาดูเห็นแสงไฟถึงรู้ว่าคุณยังไม่นอน”
“ก็เลยบอกว่าฉันหลับ เสียดายจัง กำลังคิดถึงท่านพอดี ไม่เป็นไรจ๊ะป้าเดี๋ยวฉันจะโทรเข้ามือถือของท่านเองก็ได้”
พูดได้แค่นั้นก็หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องนอน
“สวัสดีค่ะคุณแม่สบายดีไหมคะ ”
“แม่สบายดีจ๊ะลูก”
“คุณพ่ออยู่ใกล้ๆหรือเปล่าคะ”
“คุณพ่อก็อยู่ตรงนี้แหละจ๊ะ มีอะไรจ๊ะลูก”
“เปล่าค่ะคิดถึง”
“ปากหวานจริงนะลูกสาวแม่แล้วลูกล่ะจ๊ะสบายดีรึเปล่า”
“หนูสบายดีค่ะคุณแม่ แล้วเที่ยวสนุกไหมคะ”
“สนุกมากจ๊ะลูกที่นี่สวยมาก แต่แม่คิดถึงอาหารไทยมากที่สุดเลย”
“แล้วคุณพ่อกับคุณแม่จะอยู่ที่นั่นอีกนานหรือเปล่าคะ”
“สักอาทิตย์หน้านี้แหละจ๊ะก็จะต่อไปที่อเมริกา”
“ที่แคนนาดานี่เขามีที่เที่ยวที่น่าสนใจเยอะแยะเหมือนกันนะคะคุณแม่”
“ก็ใช่สิจ๊ะไม่งั้นพ่อกับแม่ก็คงไม่อยู่นานแบบนี้หรอก ลูกไม่คิดที่จะมาเที่ยวกับพ่อแม่หรือจ๊ะ เจอกันที่อเมริกาก็ดีนะ
ลูก” น้ำเสียงผู้เป็นมารดาดู
กระตือรือร้นยิ่งนัก
“คือหนูไม่อยากเป็น ก ข ค น่ะค่ะคุณแม่” น้ำเสียงหัวเราะในตอนท้ายเบาๆ
“แม่ว่า ลูกห่วงอย่างอื่นมากกว่ามั๊ย”
“ไม่ได้มีอย่างอื่นหรอกค่ะ แต่หนูมีแผนที่จะไป ทิเบต เนปาล แล้วก็ภูฎาน อยู่แล้วค่ะแม่ แต่ว่ายังไม่ใช่ตอนนี้”
“นั่นแหละที่แม่ว่าลูกมีเรื่องที่ต้องห่วงอยู่ มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะแม่รู้สึกว่าน้ำเสียงของลูกดูเนือยๆ”ปลายสายทอดน้ำ
เสียงอ่อนโยนห่วงใยทำให้คนฟังอดรู้สึกตื้นตันใจไม่ได้ เงียบไปนิดหนึ่งก่อนพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปรกติ
“ เปล่าค่ะชลก็แค่คิดถึงคุณพ่อกับคุณแม่มากน่ะค่ะ”
“จริงหรือลูก ชลถ้าลูกมีอะไรลูกควรจะเล่าให้พ่อกับแม่ฟังนะเราพร้อมที่จะช่วยลูกทุกอย่าง อย่างเรื่องบ้านไร่เคียง
ดอยก็เหมือนกันป้าจันทร์เล่าให้แม่ฟังหมดแล้ว”
“คุณแม่รู้เรื่องแล้วหรือคะ ป้าจันทร์นี่นะเร็วจริงๆ” บ่นประโยคสุดท้ายเบาๆ
“อย่าไปโทษป้าจันทร์ที่เขาบอกความจริงกับแม่เลยสายชล”คุณนภาเรียกชื่อเต็มของลูกสาว “มีความจำเป็นอะไรล่ะ
ที่ลูกจะไม่พูดให้แม่ฟัง นอกจากลูกคิดว่าลูกสามารถแก้ไขทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง เพียงคนเดียวไม่เข้าใจความรู้สึก
ห่วงใยทั้งหมดที่แม่กับพ่อมีให้”
“จริงๆแล้วหนูไม่อยากให้คุณแม่กับคุณพ่อไม่สบายใจน่ะค่ะ เดี๋ยวจะเที่ยวไม่สนุก”
“ชลหนูเป็นลูกของแม่เพราะฉะนั้นแม่ถึงรู้ว่าลูกคิดอะไร แม่พูดตรงๆ แม่ห่วงลูกมาก” น้ำเสียงของผู้เป็นมารดาดู
เครือๆ ในความรู้สึกของสายชล
“คุณแม่คะบ้านของเราไม่มีใครมาบังคับให้เราขายได้หรอกค่ะ สิทธิของเราบ้านเมืองมีกฎหมาย คุณแม่ไม่ต้องห่วง
นะคะ”เธอรู้สึกไม่ค่อยดีเลย
ที่ทำให้มารดาต้องเป็นห่วงอย่างนี้ มเป็น
“ชลจ๊ะลูกอย่าลืมสิคำว่าอิทธิพลน่ะบางทีมันก็เป็นเงามืดดำทึบครอบคลุมแม้กระทั่งทำให้คนไม่สามารถแยกแยะถูก
ผิดได้ ลูกเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆเพียงคนเดียวถึงแม้ว่าลูกจะพิสูจน์ให้พ่อกับแม่เห็นแล้วว่าลูกเป็นคนเก่ง และมีความ
สามารถมากก็ตามแม่ก็ไม่สามารถเลิกห่วงลูกได้หรอกนะ”
“คุณแม่คะแล้วคุณแม่ไม่รักไม่ผูกพันกับบ้านที่คุณแม่เติบโตมาหรือคะ”
“สายชลฟังแม่นะลูกบ้านเคียงดอยคือบ้านที่แม่รักมาก แม่มีความผูกพัน อดีตแห่งความสุขของแม่อยู่ที่นั่น แต่ให้
ลูกเชื่อแม่เถอะในโลกนี้มันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าลูกของแม่ วันหนึ่งนะที่ลูกมีโอกาสเป็นแม่คนแล้วลูกจะรู้ความรู้สึก
ของแม่”
“โธ่คุณแม่คะหนูไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณแม่รู้สึกแบบนั้น แล้วหนูควรทำยังไงคะ”
“แม่ไม่อยากให้ลูกอยู่ที่นั่น” เงียบไปนิดหนึ่ง “เฉพาะช่วงนี้นะชล”
“แล้วคนของเราล่ะคะเขาก็ต้องการขวัญและกำลังใจ หนูจะไม่ทิ้งเขาไปไหน และถ้าเราหนีเราก็ต้องหนีตลอดไปนะ
คะ คุณแม่คะมันไม่มีอะไรร้ายแรงอย่างที่คุณแม่คิดหรอกค่ะ และถ้าหนูจะไม่สามารถปกป้องสมบัติที่สำคัญที่สุด
สำหรับหนูได้ หนูจะบอกคุณพ่อกับคุณแม่ค่ะหนูสัญญา”
“แม่เชื่อหนู แต่อย่าลืมนะ อย่าลืมว่าคนพวกนั้นไม่ได้มีเพียงแค่กลุ่มเดียว มันมีหลายคนหลายกลุ่มที่เข้ามาหา
ประโยชน์จากที่ตรงนั้น และไร่เคียงดอยของเรา มันตั้งอยู่บนจุดที่สวยงามมากเด่นสะดุดตาใครๆก็สนใจ แม่ว่ามัน
อาจจะวุ่นวายจนทำให้คนของเราเองก็อาจไม่มีความสุข”
“ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ หนูมีวิธีที่เด็ดขาดและดีที่สุดคิดเอาไว้แล้วค่ะ แต่ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นนั้นหนูขอใช้วิธีอื่น
ก่อน ..... จนกว่า” ....
“จนกว่าอะไรหรือจ๊ะลูก”น้ำเสียงที่ถามดูตกใจมิใช่น้อยทำให้คนฟังปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
“ก็จนกว่าจะถึงที่สุดไงคะคุณแม่ แค่นั้นแหละค่ะ หนูรู้ว่าคุณแม่กับคุณพ่อรักและห่วงใยมาก หนูจะไม่ทำอะไรให้
ต้องทุกข์ร้อนใจเด็ดขาดค่ะ” ยกเว้นถ้าจำเป็นประโยคนี้เจ้าตัวแอบต่อเล่นๆในใจ
“คุณแม่คะหนูขอคุยกับคุณพ่อหน่อยค่ะ”
“จ๊ะได้จ๊ะ” ตอบรับบุตรสาวพร้อมกับเรียกสามี
“พ่อคะลูกอยากคุยด้วยค่ะ”
“ว่าไงเจ้าคนเก่ง”ทักทายบุตรสาวพร้อมกับหัวเราะชอบใจทีเดียว
“คุณพ่อชอบว่าหนูเรื่อย”
“อ้าวพ่อไปว่าอะไรเราที่ไหน พ่อชมลูกนะนี่หรือไม่จริง ก็ลูกสาวพ่อน่ะเก่งที่สุดอยู่แล้ว แต่คนเราจะให้เก่งแค่ไหนก็
ต้องการเพื่อนช่วยคิดนะลูก มีอะไรก็โทรมาเล่าให้พ่อกับแม่ฟังนะลูก หนูน่ะนอกจากไม่ชอบโทรศัพท์แล้วก็ยังชอบปิด
มือถืออีกนะ เวลาพ่ออยากฟังเสียงใสๆของลูกน่ะก็โทรไม่ค่อยติดเลย ทีเสียงแหบๆห้าวๆของเจ้าเมฆเจ้าภูน่ะได้ยิน
จนเบื่อ”พูดแล้ว บิดายังหัวเราะมาตามสายด้วยนิสัยเป็นคนอารมณ์ดี
“หนูจะปิดก็เวลาที่ไม่มีสมาธิเท่านั้นแหละค่ะเวลาทำงานก็ต้องการความเป็นส่วนตัวนะคะคุณพ่อ”
“ เออพ่อหมายถึงเวลาเดินทางเพราะลูกชอบเดินทางถ้าคนอื่นติดต่อไม่ได้ลูกก็ควรเป็นฝ่ายติดต่อ พ่อกับแม่ไม่คิดจะ
ปิดกั้นในสิ่งที่ลูกชอบนะเราเข้าใจ จะมีก็คือความห่วงใยนะลูก”
“ค่ะหนูรู้และ เข้าใจ”
“โทรไปคุยกับพี่เมฆพี่ภูก็ได้มีอะไรก็อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว พ่อกับแม่รักลูกมากนะแค่นี้
ก่อนนะลูก”
“หนูก็รักคุณพ่อกับคุณแม่มากค่ะ สวัสดีค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่าคุณทำหน้าดีๆหน่อย ลูกเราเค้าเก่งนะ”
“ดิฉันห่วงลูกนะคะคุณ แกเป็นลูกสาวคนเดียวของเรานะ ตั้งแต่ตอนที่แกเป็นเด็กแล้ว มีอะไรก็ไม่ค่อยพูดไม่ค่อย
บอกความต้องการของตัวเองขออยู่อย่างเดียวขอให้เราอยู่กับเขานานๆแล้วเราก็ไม่เคยทำได้เลย ฉันรู้สึกเจ็บปวดทุก
ครั้งที่นึกถึงภาพลูกร้องไห้ยืนกอดขาแม่เอาไว้ เวลาที่เราจะจากแกไป”พอพูดถึงตรงนี้คุณนภาก็ถึงกับน้ำตาคลอ
หน่วยตาทั้งสองข้าง
“ช่วงวัยที่สำคัญวัยที่เริ่มต้นของลูกแท้ๆเลยเรากลับไม่มีโอกาสดูแลได้ให้ความรักความอบอุ่นกับลูกที่เพียงพอ”น้ำ
เสียงของคุณนภาบ่งบอกถึงความเสียใจยิ่งนักจนคนเป็นสามีอดรู้สึกไม่ได้
“มันผ่านมาแล้วน่ะคุณ แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วล่ะ เราไม่สามารถย้อนเวลากลับได้ และถ้าคนเราสามารถแก้ไข อดีต
ไ ด้ เราคงเลือกที่จะทำชีวิตให้สมบูรณ์ทุกอย่างแต่มันเป็นไปไม่ได้ และถ้าเราเลือกแบบนั้นเราก็คงไม่มีสิ่งดีๆหลายๆ
อย่างให้ลูกเหมือนกัน คุณคิดสิ ว่าถ้าเรากลายเป็นคนที่ไม่มีอะไร ลูกๆของเราทุกคนก็คงไม่มีอนาคตเหมือนกัน
ถึงวันนี้ชลเขารู้ทุกอย่างนะคุณ พูดถึงตอนเป็นเด็กเมื่อเขาสามารถรับฟังเหตุผลจากเราเข้าใจ เขาก็เข้าใจพ่อแม่ดีนะ
ไม่ได้เป็นคนมีปัญหาอะไร”ฝ่ายภรรยาหันมามองหน้าสามีพร้อมกับพูดว่า
“คุณไม่รู้สึกบ้างเลยหรือคะว่าลูกเราเขาดูแปลกๆ” ฝ่ายสามีมองสบสายตาภรรยาสุดที่รัก “แปลกยังไงหรือคุณ
ผมก็เห็นเขาเป็นคนเก่งทำงานก็ประสบความสำเร็จ อายุเท่านี้ก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินระดับต้นๆของประเทศได้นี่มันไม่ใช่
ธรรมดาเลยนะ”
“มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก ไม่ยอมทำธุรกิจ สบายๆดีๆเหมือนพี่ชายทั้งสองของแก มีอยู่สองอย่างที่แกอยากได้คือ
ไร่เคียงดอย และการได้ทำงานศิลปะออกท่องเที่ยว นอกนั้นไม่สนใจอะไรเลย”
“นั่นไม่ใช่ข้อสรุปที่คุณจะว่าลูกเป็นคนแปลกเหมือนที่คุณคิดนะ”
“ บางครั้งฉันเข้าไม่ถึงความรู้สึกของแกเลยเดาไม่ออกจริงๆว่าคิดอะไรอยู่ในใจ”
“ก็ไม่ต้องไปเดาสิ คุณก็เห็นว่าลูกชอบงานศิลปะเต็มไปด้วยความคิดและจินตนาการ ลูกได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วถ้า
ไม่คิดอะไรมาก ผมขอถามว่าคุณภูมิใจกับลูกไหม ที่เขาก้าวมาถึงศิลปินระดับต้นๆได้ ใครๆก็รู้จักชื่อสายชลศิลปินนัก
วาดภาพฝีมือดีทั้งนั้นผลงานที่เขาทำอยู่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อ
สังคมและประเทศชาตินะคุณ ความสามารถระดับนี้ใครๆก็ใฝ่ฝันที่จะก้าวไปยืนอยู่ตรงจุดที่สายชลทำได้ทั้งนั้นแหละ”
“ก็นั่นนะสิคะ คุณคิดว่าแปลกไหมล่ะใครที่ไหนเมื่อโด่งดังแล้วไม่อยากให้ใครรู้จักล่ะ ส่วนใหญ่ดิฉันก็เห็นมีแต่อยาก
ดังกันทั้งนั้นขนาดไม่ดังยังพยายามทำให้ดังเลย”
พูดเสร็จก็หันไปทำหน้าตาขึงขังให้สามีเห็นด้วย
“แล้วคุณคิดว่าโลกนี้มีคนที่มีความคิดแตกต่างกันไหมล่ะ”
“ก็ต้องมีสิคะ”
“นั่นแหละ เพราะว่าคนเหล่านั้นเขาต้องการชีวิตความเป็นส่วนตัว ต้องการมีชีวิตที่ปรกติเหมือนคนทั่วไป คุณดู
อย่างดาราหรือคนที่มีชื่อเสียงอื่นๆสิ เวลาไปไหนมาไหนมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง มันสูญเสียนะคุณสูญเสียความเป็น
ส่วนตัวตลอดไป เพราะว่าเมื่อมีคนรู้จักเราแล้วมันก็ต้องรู้จักตลอดไป”นภาพยักหน้าช้าๆเมื่อคิดตามคำพูดของสามี
“ ก็นั่นนะสิคะ”เธอ เริ่มคล้อยตามคำพูดของสามี
“แล้วพูดถึงเรื่องงานเรื่องการเงินต้องห่วงรึเปล่าล่ะชื่อเสียงขนาดนี้ ภาพของลูกชลน่ะเขาขายอยู่ที่ราคาเท่าไหร่แค่
ภาพสองภาพก็สามารถเที่ยวต่างประเทศได้สบายเลยไม่มีความ
เสี่ยงเหมือนทำธุรกิจด้วยนะคุณ”
“ถึงฉันจะพูดแบบนั้นถึงฉันจะว่าลูกแปลก แต่ฉันก็ภูมิใจกับลูกมากนะคะ”
“ถ้าคุณภูมิใจคุณก็ต้องให้ความเชื่อมั่น ดูคุณยังไม่รู้จักลูกของเราดีขึ้นเลยนะ คุณอย่าพูดว่าลูก
แปลกให้เขาได้ยินเป็นอันขาด เพราะสิ่งที่ลูกต้องการมากก็คือความเชื่อมั่น ขอให้เราเชื่อมั่นในตัวเขาทำให้ลูกเรา
เขาเห็นว่าเรารู้สึกเช่นนั้นมันจะเป็นเหมือนพลังสำหรับลูกด้วย เชื่อผมนะ”
“ค่ะฉันเชื่อคุณแล้วฉันก็จะเชื่อลูกด้วย เพียงแต่ความเป็นแม่ทำให้อดห่วงไม่ได้”
“งั้นผมก็หมดห่วงแล้วล่ะ” พูดพร้อมกับโอบกอดกระชับร่างอันอวบอิ่มของภรรยาสุดที่รักไว้ในอ้อมแขนอันอบอุ่น
ดอกไม้หน้าหนาวเริ่มผลิดอกบ้างแล้ว อวดดอกงามที่โดดเด่น ดอกไม้ป่าบานแย้มต้อนรับฤดูหนาว
ของทุกปี ปลายฝน เช่นนี้ก็พอมีบ้างที่มีดอกไม้บางดอกเริ่มแย้มบานก่อนใครอื่น สายชลนึกอยากวาดภาพดอกไม้ที่
บานรับอรุณรุ่ง ที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำค้างและฉากหลังที่เป็นสายน้ำ ภูเขา และแสงสีทองของท้องฟ้า เธอจึงตื่นขึ้น
มาแต่เช้าเพื่อต้อนรับวันใหม่และเริ่มทำในสิ่งที่ดีๆให้กับชีวิต ดอกไม้สีเหลืองงามถูกเกาะพราว ด้วยหยาดน้ำค้าง รับ
กับฉากหลังที่เป็นแม่น้ำสะท้อนรับแสงเงินแสงทองของท้องฟ้าวันใหม่ยามอรุณรุ่ง แสงทองจับขอบฟ้ากำลังเริ่มแผ่
รัศมี สายชลบรรจงแต่งแต้มสีสันลงบนผืนผ้าด้วยอารมณ์สดชื่นและเบิกบาน ผลงานที่ออกมาจากใจที่มีความสุข
ย่อมสวยงามเสมอ
เธอชื่นชมในผลงานของตัวเองเงียบๆและอิ่มสุขอย่างเหลือล้ำ
“คุณคะนมร้อนๆค่ะ”
“ขอบใจจ่ะป้า”สายชลรับถ้วยนมร้อนๆมาจากป้าจันทร์
“สวยมากเลยค่ะ ป้ามองภาพนี้แล้ว ป้ารู้สึกเหมือนป้าอยู่ในความฝัน เลยนะคะ”
“ป้าพูดแบบนี้กับภาพวาดทุกภาพของฉัน” สายชลอดที่จะหัวเราะด้วยความพอใจไม่ได้
“ก็ป้าพูดตามที่ป้ารู้สึกนี่คะคุณ”
“ จ๊ะฉันเชื่อที่ป้าพูด ก็นี่มันเป็นภาพวาดของสายชลนี่นาจริงไหมจ๊ะป้า”
“ใช่ค่ะคุณชลของป้าเก่งที่สุดเลย”
“ พอแล้วล่ะจ๊ะเดี๋ยวฉันจะอิ่มคำชมจนทานข้าวไม่ได้ข้าวต้มกุ้งของป้ามันจะเสียใจนะแล้วฉันก็ตั้งใจจะกินเยอะๆด้วย”
ตอนท้ายประโยคเธอหันมาหัวเราะน้อยๆให้ป้าจันทร์ และนางก็พลอยหัวเราะไปกับอารมณ์ขันของเจ้านายด้วย
“ป้าจ๊ะป้าช่วยบอกน้าสมบูรณ์มาเอาภาพนี้ไปเก็บในห้องภาพให้หน่อยนะ” บอกพลางเก็บอุปกรณ์การวาดภาพลง
กล่องอย่างพิถีพิถัน เธอรัก และทะนุถนอมอุปกรณ์การวาดภาพมาก ทุกชิ้นเธอจะต้องทำความสะอาดและเก็บอย่าง
เป็นระเบียบทุกครั้ง เป็นภาพที่ป้าจันทร์คนเก่าแก่เห็นจนเคยชิน ตั้งแต่สายชลยังเป็นเจ้านายตัวน้อยๆ เป็นยังไงก็เป็น
แบบนั้นไม่มีเปลี่ยนแปลงไปเลย นางอดยิ้มชื่นชมคนที่เป็นเจ้านายไม่ได้ แต่คนถูกมองด้วยความชื่นชมกลับไม่ได้ใส่
ใจเพราะมัวสารวนอยู่กับการเก็บอุปกรณ์
“ข้าวต้มกุ้งชามโตๆนะป้าจันทร์รู้สึกหิวเป็นพิเศษสงสัยรู้ว่าจะได้ทานฝีมือป้าจันทร์แน่เลย”คนพูดๆโดยที่ไม่ได้หันมา
มองหน้าแม่บ้านคนเก่าแก่อีกเลยเพราะยังคงจดจ่ออยู่กับการทำงาน
“ได้ค่ะ แล้วรับอะไรเพิ่มอีกไหมคะ”
“ อือ ขอเป็นชาน้ำผึ้งมะนาวก็ดีนะป้า น้ำผึ้งหวานๆจากไร่ของเรา ทานแล้วเช้านี้ฉันคงมีพลังน่าดูเลย จะได้ไปเดิน
สำรวจไร่สักหน่อยป้าจันทร์ช่วยบอกลุงมีด้วยนะคะ”
“ไม้ดอกกำลังบานสวยเลยล่ะค่ะคุณชล ที่กำลังตัดขายได้ก็มีหลายชนิดแล้วนะคะ”
“ดีจังลุงมีนี่เก่งจังเลยนะ เดี๋ยวป้าจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ฉันจะไปอาบน้ำ”
“ค่ะ”
หลังจากนั้นป้าจันทร์ก็รีบไปทำข้าวต้มกุ้งให้สายชลทันที นางมีความรู้สึกว่านางโชคดีมากที่ได้เจ้านายอย่างสายชล
อยู่ง่ายกินง่ายอยู่ใกล้แล้วสบายใจเป็นทั้งร่มโพธิ์ร่มไทรสำหรับนาง สามีและก็คนงานทุกคนจริงๆ นึกอธิฐานในใจขอ
ให้คุณสายชลเธอได้พบกับคนดีๆด้วยเถอะ
“ไร่เคียงดอย ของใครกันนะจ่าพอรู้จักเจ้าของไหม”
“เจ้าของน่ะไม่รู้จักหรอกครับ รู้แต่ว่าย้ายครอบครัวไปตั้งรกรากอยู่ที่กรุงเทพ ตอนนี้ก็มีคนดูแลกิจการในไร่ส่วนเจ้า
ของเห็นว่านานๆจะมาสักครั้งหนึ่ง”
“มีข้อมูลดีเหมือนกันนี่นะจ่า”
“ครับก็ผมพอจะรู้จักคนงานที่ทำงานในไร่นี้อยู่บ้าง เอ ว่าแต่สารวัตรถามทำไมหรือครับหรือว่ามีอะไรเป็นพิเศษ”
จ่าเข้มถามพร้อมชำเลืองสายตามองเจ้านายอย่างนึกสงสัย
ธนชาติหัวเราะกับท่าทางช่างสงสัยของลูกน้องคนสนิท เปล่าผมไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกจ่าเพียงแค่รู้สึกชอบเท่า
นั้นมันสวยมากเลยนะ อยากลองเข้าชมข้างในดูบ้าง ผ่าน
มาทุกครั้งเป็นต้องรู้สึกอย่างนี้ทุกทีเลย แปลกเหมือนกันผมว่ามันเป็นไร่ที่มีเสน่ห์ อย่างบอกไม่ถูก”
“อะไรกันครับสารวัตร”จ่าเข้มอดยิ้มกับอารมณ์โรแมนติกของเจ้านายไม่ได้
“ถ้าบอกว่าไร่นี้มีลูกสาวสวยก็ว่าไปอีกอย่างนะครับจะได้น่าเข้าไปหน่อย”
“ มันก็ไม่แน่เหมือนกันนะจ่า.....”คนพูดคงต้องการพูดเล่นสนุกๆไปตามนิสัยของคนอารมณ์ดี
“แต่มันก็จริงเหมือนที่จ่าว่านะ เพราะสาวๆสวยๆเขาก็คงไม่มาอยู่กลางไร่กลางป่าอย่างนี้หรอกพวกเธอชอบที่ๆมัน
เจริญและเต็มไปด้วยความสิวิไลมากกว่า”
“มันก็ไม่แน่อีกนะครับคนเราน่ะคิดไม่เหมือนกันอาจจะมีผู้หญิงสาวๆสวยๆที่ชอบใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติกลางป่าก็ได้
แต่เท่าที่มีอยู่นี่ผมว่ามันก็มากแล้วนะครับสารวัตร มีแต่คนสวยๆทั้งนั้นเลยว่าแต่สารวัตรน่ะสนใจคนไหนเป็นพิเศษล่ะ
ครับ แต่ถ้าให้ผมเดาผมว่าน่าจะเป็นคุณ....”
“อย่าเดาเลยจ่าเดาไม่ถูกหรอก”
“อ้าวผมยังไม่ได้เอ่ยเลยนะครับปิดโอกาสซะแล้ว” จ่าเข้มหัวเราะถูกใจที่แซวเจ้านายได้
“ผมยังไม่มีความรู้สึกพิเศษแบบนั้นกับใคร”
“จริงเหรอครับ”
“ก็จริงนะสิจ่าผมจะโกหกจ่าทำไม”
“ว้าอย่างนี้ถ้าสาวๆมาได้ยินเข้าก็คงเสียใจแย่เลยนะครับ”
“ก็ถ้าจ่าไม่พูดใครเขาจะไปรู้ล่ะ”
“ครับก็จริงนะครับ”
“ผมได้ข่าวว่าที่แถวนี้เขาขายกันไปเยอะแล้วนะ”
“ครับพวกนายทุนกว้านซื้อไปจวนจะหมดแล้วที่ยังเหลืออยู่ก็คงจะ เป็นไร่เคียงดอยนี่แหละครับ ก็เจ้าของเขาเป็นคนมี
เงินมีทองเหมือนกันคงไม่คิดจะขายหรอกผมว่าแต่ก็ไม่แน่เหมือนกันนะครับเพราะเขาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่อาจจะอยากขาย
เพราะไม่อยากดูแล หรือตัดปัญหาก็ได้ ผมได้ข่าวมาว่าตอนนี้ที่แถวๆนี้กำลังมีปัญหาพวกนายทุนต่างแย่งกันเพื่อเป็น
เจ้าของที่ให้มากที่สุด ทั้งกิจการรีสอร์ทโรงแรม ” “น่าเสียดายนะถ้าเขาจะขาย ผมคนหนึ่งล่ะคงรู้สึกเสียดายมากถ้า
ไร่นี้จะกลายเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่เหลือสภาพความเป็นธรรมชาติไว้เหมือนเดิม”
“ก็คงไม่มีใครทำอะไรได้หรอกครับสารวัตร หรือไม่สารวัตรก็ซื้อไว้ซะเองสิครับชอบอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ”
“นั่นสินะ เฮ้ย! เรามันข้าราชการจะไปเอาเงินที่ไหนมาซื้อล่ะจ่าที่เป็นพันไร่”
“ก็ขอนายแม่ของสารวัตรสิครับ ไม่แน่นะครับเผื่อสารวัตรเล่าให้ท่านฟังท่านอาจจะสนใจก็ได้”
“ไม่เอาล่ะจ่าถ้าเป็นเหมือนที่จ่าพูดผมว่าตอนนี้ที่มันกำลังมีปัญหาผมไม่อยากยุ่งกับพวกนายทุน ให้เจ้าของไร่เขาสู้
ไปเถอะ”
“ใช่ครับดูท่าจะไม่ธรรมดาเสียด้วย” ทั้งสองหันไปมองไร่เคียงดอยอีกครั้งก่อนที่จะพ้นจากอาณาเขตไร่
“ เออจ่าเลยไร่นี้ไปสักหน่อยมีร้านขายของชำเล็กๆจ่าช่วยจอดซื้อน้ำเปล่าเย็นๆให้ผมหน่อยนะรู้สึกหิวน้ำ”
“ ครับสารวัตร”
สายชลแต่งตัวทะมัดทะแมงด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวกระชับเข้ารูปสีน้ำตาลอ่อนกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้ม ผมยาว
ถักเปียไว้เรียบร้อย สวมแว่นกันแดดและหมวกมิดชิด เธอสวมรองเท้าบู๊ทเพื่อป้องกันแมลงมีพิษที่อาจจะกัดเอาได้
ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้วแดดเริ่มอ่อนแสงลง เธอเดินสำรวจจนถึงท้ายไร่ ใช้เวลานานทีเดียวจนรู้สึกพึงพอใจ
กับผลผลิตที่กำลังผลิดอกออกผล และกำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้วเป็นบางชนิด คนงานทุกคนก็ดูกระตือรือร้นขยัน
ขันแข็งดี ในเนื้อที่กว้างใหญ่ของไร่เคียงดอย ดูเต็มไปด้วยมิตรภาพและน้ำใจไมตรี มองเห็นสีหน้าของทุกคน
สายชลก็รู้ว่าพวกเขามีความสุข
ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสยกมือไหว้ ทักทายสายชล ซึ่งเธอก็เป็นกันเองกับทุกคน ไม่ถือตัวว่าเป็นนาย ถามไถ่ทุกข์สุขกับ
ทุกคน เอาไว้วันว่างๆเธอตั้งใจว่าจะมาลุยงานกับพวกเขา ซึ่งเธอก็ทำเป็นประจำอยู่แล้วเวลาที่มาบ้านไร่และมันก็ทำ
ให้เธอได้ใจของคนงานด้วย
“เดินจนถึงท้ายไร่เลยนะครับคุณชลเหนื่อยไหมครับ”
“ก็ตั้งใจไว้นี่จ๊ะลุงมี ไม่เหนื่อยหรอกมีความสุขดีซะอีก จำไม่ได้เหรอฉันน่ะพวกแบกเป้เที่ยวนะเดินซะจนเป็นเรื่อง
ปรกติแล้ว แค่นี้น่ะสบาย”
“ครับลืมไปจริงๆนั่นแหละ” สีหน้าลุงมียิ้มๆแสดงความชื่นชมเจ้านาย
“แต่ฉันก็สู้ลุงมีไม่ได้หรอกนะเดินทุกวันนี่นาแข็งแรงด้วยนะออกกำลังกายทุกวันแบบนี้”
“ตกมาปีนี้เริ่มรู้สึกตัวว่าแก่แล้วครับคุณชล” สายชลยิ้มรับกับคำพูดของลุงมี
“ ไม่แก่หรอกจ๊ะลุง ลุงน่ะดูแลไร่นี้ไห้ฉันได้สบายๆไปอีกนานเลยล่ะ ลุงมีจ๊ะลุงช่วยบอกพี่ป้าน้าอาพวกเราทุกคนด้วย
นะจ๊ะว่าพรุ่งนี้ตอนเย็นฉันจะเลี้ยงอาหารทุกคน เพราะฉันไม่ได้กลับไร่นานแล้ว ทุกคนจะได้พักผ่อนและดื่มกินกัน
อย่างเต็มที่” ยังไม่ทันที่สายชลจะพูดจบและลุงมีก็ยังไม่มีโอกาสได้ประกาศ เสียงร้องไชโยก็ดังขึ้นเริ่มจากต้นเด็ก
หนุ่มวัยยี่สิบต้นๆหน้าตาดีซึ่งยืนอยู่เคียงข้างอ้อนแฟนสาวและเป็นลูกสาวคนงานในไร่ ตอนนี้ต้นกำลังเรียนกฎหมายปี
สอง ของมหาวิทยาลัยสุโขทัย โดยทำงานในไร่และใช้เวลาที่ว่างจากงานในการอ่านหนังสือเนื่องจากฐานะทางครอบ
ครัวไม่เอื้ออำนวยเหมือนเพื่อนคนอื่นๆที่เรียนกันตามมหาวิทยาลัยใหญ่ๆดังๆเพราะพ่อกับแม่ของต้นก็เป็นคนงานในไร่
มานานแล้วต้นจึงโตที่นี่และสายชลก็รู้จักเป็นอย่างดีรวมทั้งอีกหลายๆคน นอกจากเสียงของต้นแล้วก็ยังมีเสียงไชโย
ของคนงานอีกหลายๆคนที่ได้ยิน เรื่องที่สายชลพูด
“ผมว่าแล้วถ้าคุณสายชลกลับบ้านไร่เคียงดอยเมื่อไหร่ จะต้องมีอะไรดีๆแน่นอน
“นี่ต้นฉันยังพูดไม่จบเลยนะนักกฎหมายน่ะจะต้องสำรวมและสมาทกว่านี้นะ”สายชลได้ยินเสียงอ้อนหัวเราะเบาๆอยู่
ข้างๆต้น
“เงียบน่ะอ้อนหัวเราะที่พี่โดนคุณชลว่าเหรอ”
“ นี่ต้นฉันแซวเธอเล่นเฉยๆ”
“ ผมรู้อยู่แล้ว”
“ มั่นใจจังเลยนะเรา”
“ใครไม่รู้จักคุณชลก็แย่แล้วครับ”
“ ถ้างั้นฉันคงไม่ให้ลุงมีประกาศแล้วล่ะ เอาเป็นว่าทุกคนรับรู้พร้อมกันเลยนะว่า พรุ่งนี้ทำงานถึงแค่เที่ยงวันก็พอ ช่วง
บ่ายให้ทุกคนเตรียมตัวช่วยกันในเรื่องอาหารและสถานที่ใครอยากกินอะไรเป็นพิเศษก็เสนอได้เลยเอาเป็นลานเคียง
ดาวข้างบ้านเหมือนเดิมนะ เรื่องที่ต้องการแจ้งกับทุกคนก็มีแค่นี้แหละ แล้วพรุ่งนี้เจอกันทุกคนนะจ๊ะ” พอจบเสียงพูด
ของสายชลเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นอีกครั้งกว่าจะเงียบลงและตามด้วยเสียงพูดคุยกันอีกนานถึงงานวันพรุ่งนี้ สายชลก็
เดินกลับถึงบ้านเคียงดอยเรียบร้อยแล้ว