วันหนึ่งผมได้มีโอกาสไปงานสวดศพของคนรู้จัก 2 คน ซึ่งดูจะบังเอิญเหลือเกินที่ถูกจัดขึ้น ณ. วัดแห่งเดียวกัน คนทั้ง 2 มีฐานะทางสังคมที่ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งสังเกตได้จากจำนวนคนในงาน ฐานะของแขกที่มาร่วมงาน จำนวนพวงหรีด และอาหารที่เลี้ยงแขกแต่สิ่งที่ผมสังเกตได้ว่าไม่ต่างกันเลย คือ หีบศพลายทองที่ตั้งเด่นอยู่บนศาลาที่ไม่ห่างกันนัก เคียงข้างด้วยรูปของผู้ที่จากไป ภาพถ่ายของเขาทั้ง 2 แม้จะมีรอยยิ้มสดชื่น แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเศร้าที่ไม่เคยเลือนหายไปจากดวงตา ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงเวลาสุดท้ายของชีวิต ความเศร้าอันเนื่องมาจากการกระทำบางอย่างที่ไม่ควรทำแต่เขาได้ทำลงไป หรืออาจจะจากการที่ละเลยไม่ได้ทำบางสิ่งที่น่าจะกระทำ ทำให้พอจะ
ทราบว่าเมื่อคนทั้ง 2 ยังมีลมหายใจ ชีวิตทั้ง 2 จะต้องผ่านช่วงเวลาของการต่อสู้ดิ้นรน เพื่อให้ได้มาซึ่งความผาสุข อำนาจ ความรุ่งเรือง และเกียรติยศ อันเป็นความหวังของชีวิต อาจจะด้วยโอกาส เส้นสายในวงสังคม การศึกษา และการปฎิบัติตน ที่ทำให้คนทั้ง 2 มีชีวิตที่แตกต่างกัน แต่คงยากที่จะสรุปว่าใครมีความสุขใจ มากกว่ากัน หากดูเผิน ๆ แล้วดูเหมือนโลกจะไร้ความยุติธรรมสำหรับชีวิตของเขาทั้ง 2 แต่ผมแน่ใจว่า ความตายคือความยุติธรรมอันสูงสุดบนพื้นพิภพที่ทุกคนต้องยอมรับ ทุกคนมีจุดหมายปลายทางเพียงจุดเดียว ในจุดสุดท้าย แม้ว่าเราจะมีอายุ รูปร่างหน้าตา สถานภาพ อำนาจ ที่แตกต่างกันก็ตาม แต่ว่าจุดสุดท้ายของทุกคน จะไม่แตกต่างกันเลย นี่เป็นการเตือนให้เราสำนึก และหยุดพฤติกรรมที่หยิ่งผยองเสีย เพราะ ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะนำไปด้วยได้ เมื่อวาระสุดท้าย
มาถึง และเมื่อพิธีการเผาศพเสร็จสิ้นลง กระดูกที่เหลือ เมื่อนำมาเรียงแล้ว จะมีขนาดเท่า ๆ กับเด็กทารกแรกเกิด เราจึงสามารถพูดได้ว่า ณ จุดจบของคน จะมีขนาดเท่ากับจุดเริ่มต้นของคน ไม่ว่าคุณจะเคยยิ่งใหญ่ปานจักรพรรดิก็ตาม แต่จุดสุดท้ายของคุณ ก็คือกลับไปสู่ขนาดเดิมของทารกและมีขนาดไม่ต่างกันเลยไม่ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นเศรษฐีหรือยาจก นั่นคือในจุดสุดท้ายคนทุกคนจะมีขนาดเท่าจุดเริ่มและเท่าเทียมกันทุกคนหากการนอนหลับก็คือแบบ จำลองการตาย ดังนั้น.เราสามารถบอกได้ว่า เราได้สัมผัสกับความตายอยู่แล้วทุก ๆ คืนและทุก ๆ คน และหากเราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ ไม่ใช่เฉพาะตอนต้นปีใหม่ ทว่าทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา เรามีโอกาสเริ่มต้นใหม่และแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกต้องได้ แต่คนเรามักจะไม่รู้จักคุณค่าของการกระทำความดี และการละเว้นการทำชั่ว จนวันสุดท้ายของชีวิตมาถึง วันนั้นแหละที่เราจะรู้ว่าเราไม่น่าจะทำอะไรและอะไรที่ควรกระทำ แล้วทำไมเราต้อง
รอจนกระทั่งวันสุดท้ายมาถึงก่อน จึงจะคิดออกว่าควรจะใช้ชีวิตอย่างไร? หากคนเราทุกคนต่างทำตัวไม่ให้ตกอยู่ในความประมาทแล้วจุดจบที่แท้จริงซึ่งคือ เถ้าธุลีจากเศษกระดูกที่คนเบื้องหลังจะได้เก็บรักษาไว้ด้วยความผูกพันและ อาลัยรัก ผมขอให้พวกเรา จงใช้ชีวิตวันนี้ให้เหมือนว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต เพื่อที่เราจะได้เดินถึงจุดสุดท้ายของชีวิตอย่างมีคุณค่าแก่คนรอบข้างและ สังคม เพราะสันติสุขของชีวิตอันเกิดจากการเป็นผู้ให้และความรู้จักพอคือสิ่งที่ทุก ชีวิตควรจะมุ่งปฏิบัติ
เครดติ…พี่ชาย บ้านแห่งรัก