โจวซิงฉือ ชายขี้เหนียวที่บริจาคเงิน ๓๐ ล้าน
หากจะมองว่าชีวิตของโจวเหวินฟะ นั้นงดงามราวกับตะวันยามเที่ยง ชีวิตของโจวซิงฉือ นับว่าเหมือนดวงจันทร์ที่คอยหลบเร้นเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง
ในยุค ๙๐ ทั้งสองโจว รวมถึงเฉินหลง ถูกยกย่องให้เป็นราชาแห่งบ็อกออฟฟิศฮ่องกง ทุกภาพยนตร์ที่ทั้งสามแสดงต่างสลับกันขึ้นอันดับหนึ่งทำเงินในยุคสมัยนั้น
เฉินหลงมีชีวิตฟู่ฟ่า หรูหรา เขาสะสมรถยนต์มากมาย รวมถึงการจัดแข่งขันรถยนต์ให้กับทางมิตซูบิชิที่เป็นสปอนเซอร์ของเขาอย่างยาวนาน
โจวเหวินฟะใช้ชีวิตเรียบง่ายติดดิน เขาโดยสารรถสาธารณะ กินข้าวร้านอาหารข้างทาง
ส่วนโจวซิงฉือกลับแตกต่าง ด้วยส่วนตัวโจวซิงฉือเป็นคนเงียบขรึม เขาบ้างาน ชอบคิดเรื่องงานตลอดเวลา จวบจนกระทั่งหลังจากปี ๒๐๐๐ โจวซิงฉือเริ่มทำงานลดลง รวมถึงการไม่รับงานแสดงตั้งแต่ภาพยนตร์ คนเล็กของเล่นใหญ่ (๒๐๐๘) โจวซิงฉือก็เริ่มใช้ชีวิตส่วนตัวสบายๆมากขึ้น
ส่วนใหญ่การเดินทางในฮ่องกงโจวซิงฉือมักจะปั่นจักรยาน ด้วยความคิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของเขา เขาไม่ต้องการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซค์ให้กับโลก ดังนั้นถ้าไม่มีงานเร่งด่วน โจวซิงฉือจะเดินทางในฮ่องกงด้วยจักรยาน
ในช่วงยุค ๙๐ โจวซิงฉือนั้นมักจะถูกค่อนขอดมาโดยตลอด ว่าเขาเป็นคนขี้เหนียว แม้จะเป็นพระเอกที่มีรายได้อันดับหนึ่งของฮ่องกงในยุคนั้นก็ตาม การที่ในยุค ๙๐ โจวซิงฉือนับว่าเป็นดาราที่มีค่าตัวแพงที่สุดในฮ่องกงก็เพราะว่า หนังของโจวซิงฉือนั้นลงทุนน้อยกว่าหนังเฉินหลง แต่ทำรายได้สูสีหรือบางเรื่องก็มากกว่าหนังที่เฉินหลงนำแสดง รวมถึง โจวซิงฉือนั้นแสดงภาพยนตร์ได้มากกว่าเฉินหลง เพราะว่า หนังที่เขาแสดงไม่ต้องเซตฉากใหญ่ ไม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ต้องเสี่ยงตายเพื่อสร้างฉากแอ็คชั่นเพื่อเอาใจผู้ชม ดังนั้นด้วยการลงทุนที่ต่ำกว่าและสร้างภาพยนตร์ได้ปริมาณที่มากกว่า ทำให้โจวซิงฉือในตอนนั้นมีค่าตัวมากกว่าดาราคนอื่น
อีกประเด็นคือนอกจากนำแสดงแล้ว โจวซิงฉือ ยังมีบทบาททั้งการกำกับและเขียนบท ดังนั้นหนังของโจวซิงฉือนั้น เป็นการทำงานของเขาแทบจะเกือบทั้งหมด ดังนั้นนอกจากค่าตัวนักแสดงแล้วทางบริษัทผลิตภาพยนตร์ยังต้องให้ค่าตัวพิเศษ กับเขาในฐานะการควบคุมงานผลิตอีกด้วย
แต่แม้ว่าจะมีรายได้มากมาย แต่โจวซิงฉือนั้นมักจะถูกหาว่าเป็นคนที่ขี้เหนียว เพราะเขาแทบจะไม่เคยเลี้ยงข้าวนักแสดงหรือทีมงาน หรือถ้ามีบางครั้งที่เขาต้องเลี้ยงจริงๆ เขามักจะสั่งอาหารมาไม่มากนัก รวมถึงถ้ามีอาหารเหลือเขาจะขอให้ทางร้านห่ออาหารเหลือเหล่านั้นกลับบ้านอีกด้วย
ทุกคนรอบตัวของเขาล้วนได้ประโยชน์จากการร่วมงานกับโจวซิงฉือ ทั้งชื่อเสียงและเงินทอง จากการร่วมแสดงในภาพยนตร์ของเขาไม่ว่าบทเล็ก บทใหญ่ โจวซิงฉือต่างพยายามจะเกลี่ยความสำคัญและความน่าจดจำให้ทุกตัวละคร รวมถึงนักแสดงประกอบฉาก ดังนั้นในกองถ่ายโจวซิงฉือจะเป็นคนที่ดูเครียดมาก เพราะสิ่งที่เขาต้องแบกรับคือ ทุกคนที่อยู่ในภาพยนตร์ของเขา แต่คนมักจะสนใจเพียงความเกรี้ยวกราดของเขาในเวลาทำงาน แต่ไม่ได้คิดว่าเพราะความเข้มงวดนั้นนี่เอง ที่ทำให้หลายคนมีชื่อเสียงและความสำเร็จขึ้นมา
มีการตั้งฉายา โจวซิงฉือว่า "เผด็จการในกองถ่าย"
จางเหมี่ยนเคยให้สัมภาษณ์ว่าในกองถ่ายหนังของโจวซิงฉือนั้น คำพูดของโจวซิงฉือ คือสิ่งที่ทุกคนต้องทำตามไม่ใช่ผู้กำกับ เขาชอบทำให้ผู้กำกับและนักแสดงขุ่นเคืองมากกว่าทำให้ผู้ชมผิดหวัง ความมุ่งมั่นตั้งใจนั้นทำให้คนดูรักเขาแต่เพื่อนร่วมงานเข้าใจเขาน้อยลง นอกจากอู๋ม่งต๊ะ เพียงคนเดียว
โจวซิงฉือเองก็ถูกโจมตีในหลายครั้งเกี่ยวกับการทำงานในกองถ่าย
หวงซิวเซิน เคยทนไม่ไหวและออกมาให้สัมภาษณ์ปกป้องโจวซิงฉือ เพียงประโยคสั้นๆ
"มีแต่คนพูดถึงเขา (โจวซิงฉือ) ในแง่ไม่ดี แต่คุณเคยเห็นโจวซิงฉือพูดถึงใครในแง่ไม่ดีบ้างไหม"
เป็นความจริงที่แม้แต่สื่อฮ่องกงยังต้องหุบปาก เพราะตั้งแต่เข้าวงการบันเทิงมา โจวซิงฉือไม่เคยพูดถึงหรือกล่าวถึงใครในแง่ไม่ดีมากก่อนในตลอดชีวิตการแสดงของเขา
ในปี ๒๐๐๘ มีแผ่นดินไหวที่มณฑลเหวินชวน ประเทศจีน ภายหลังเมื่อเหตุการณ์สงบลงได้มีการประกาศรายชื่อผู้บริจาคเงินเพื่อผู้เหลือผู้ประสบภัย มีรายชื่อของโจวซิงฉือที่บริจาคเงิน ๓๐ ล้านหยวน ชายที่ถูกตราหน้าว่าขี้เหนียวที่สุดในฮ่องกง แต่บริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือคนอื่นสามสิบล้าน
ที่ยากยิ่งกว่านั้นคือครั้งหนึ่งเขาเคยบริจาคไขกระดูกให้กับศูนย์ดูแลวิกฤตโดยหวังว่าจะสนับสนุนให้ชาวฮ่องกงมีส่วนร่วมในการบริจาคไขกระดูกอย่างแข็งขัน ไขกระดูกไม่ได้วัดกันที่เงิน ถ้าคุณมีเงิน คุณอาจไม่สามารถซื้อไขกระดูกที่เหมาะสมได้ มีหลายคนวิเคราะหฺ์ว่าที่โจวซิงฉือมีผมขาวก่อนวัยเพราะการบริจาคไขกระดูกในครั้งนั้น
โจวซิงฉือ ก็เหมือนกันกับ โจวเหวินฟะ และ กู่เทียนเล่อ ทั้งหมดล้วนขี้เหนียวกับตัวเอง พวกเขาใช้เงินกับสิ่งของส่วนตัวน้อยกว่าคนอื่นๆที่ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันกับพวกเขา แต่ทุ่มเทสิ่งเหล่านั้นมอบมันกับผู้อื่นที่ขาดแคลนให้มากกว่า
โจวซิงฉือกับโจวเหวินฟะนับว่ามีชีวิตครอบครัวที่ใกล้เคียงกัน เกิดมาจากครอบครัวที่แม่ต้องดูแลพวกเขาเป็นหลัก พวกเขาทำงานสารพัดเพื่อประสบความสำเร็จ และพวกเขารู้คุณค่าของเงินและรู้ดีว่าความสุขที่แท้ของพวกเขาอยู่ที่ไหน
เวลาไม่มีปากแต่จะบอกความจริงทุกอย่างกับเราเองว่าใครเป็นอย่างไร คนอื่นจะสนใจแค่ว่าสิ่งที่คุณทำนั้นประสบความสำเร็จมากแค่ไหน ไม่ใช่ว่าสิ่งที่คุณพูดมากมายแค่ไหน ดังนั้นโจวซิงฉือจึงเลือกที่จะทำมากกว่าพูด เขาสื่อสารกับโลกผ่านภาพยนตร์ของเขา และจนถึงปัจจุบัน แฟนๆภาพยนตร์ก็ยังรอผลงานภาพยนตร์เรื่องต่อไปของเขา เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่า หนังของโจวซิงฉือนั้น คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะทำให้คนดูได้รับชม เพราะนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะมอบให้กับผู้ชมภาพยนตร์ของเขาได้