หัวข้อ : นำเอามาเล่าเรื่องกรรมมีจริง
วันที่ 27 กรกฎาคม 2552 ข้อความ : ก็ไปอ่านกระทู้หนึ่งในพันทิพย์เช่นเคยครับ เกี่ยวกับกรรมมีจริง และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคติดต่อร้ายแรงที่มาจากการบริโภคอาหารพิศดาร ลองอ่านดูคะ
เรื่องราวนี้เป็นของสุภาพบุรุษท่านหนึ่งในจังหวัดนครพนม ท่านได้เล่าให้ฟังดังนี้.......
คนสกลนคร หรือคนในจังหวัดใกล้เคียงไม่มีใครที่จะไม่รู้จักเนื้อสวรรค์ เพราะมันจัดเป็นอาหารพิเศษสุดของคนที่นี้กันเลยทีเดียว และเนื้อที่ใช้ทำก็ไม่ใช่อะไรอื่น เนื้อสุนัขดี ๆ นี้เอง
การกินเนื้อสุนัขนั้น ริเริ่มโดยชาวญวนอพยพมาจากฝั่งลาว รวมถึงคนจีนด้วย โดยเขาจะกินเฉพาะฤดูหนาวเพียงครั้งเดียว ด้วยเชื่อว่า เนื้อสุนัขสามารถให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายได้ และสุนัขที่นำมากินต้องสีดำล้วน ๆ ที่ผ่านการเลี้ยงดูมาอย่างดี ไม่ใช้สุนัขตาดำ ๆ ทั่วไปที่คนแถบอีสาน หรือที่ จ .สกลนครกินกัน
ผมเป็นคนจังหวัดนครพนม ที่นี้ก็มีการกินเนื้อสุนัขบ้าง แต่ไม่เอิกเกริกถึงกับเปิดเป็นร้านอาหารใหญ่โตเหมือนกับจังหวัดสกลนคร และไม่รู้ว่าการเปิบเนื้อสวรรค์นี้จะขยับขยายเข้าไปถึงจังหวัดที่ผมอยู่หรือเปล่า ถ้าเป็นแต่แต่ก่อนก็ไม่คิดอะไรดอก เพราะเห็นว่ามันเป็นอาชีพสุจริตที่ใคร ๆ ก็ทำได้ แต่เดี๋ยวนี้ผมได้แต่ภาวนาว่าขออย่าได้คืบคลานเข้ามาเลย เพราะไม่อยากเห็นใครต้องมาชดใช้กรรมอย่างที่ผมเห็นมากับตาตัวเองเลย
เรื่องของเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ เดิมทีผมทำอาชีพทำนาและรับจ้างทั่วไป ฐานะก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ลูกเมียก็อยู่อย่างเรียบง่าย เสร็จจากหน้านาก็ทอผ้า เป็นรายได้เสริมให้ครอบครัว ครอบครัวเราก็เป็นปกติดีกระทั่ง 3 ปีที่แล้ว ผมได้รับจดหมายจากพี่ชาย ชวนให้ไปทำธุรกิจที่กำลังจะขยายโครงการออกไป ใจจริงส่วนตัวเองก็ไม่เดือดร้อน แต่ก็อยากได้เงินสักก้อนเก็บไว้ส่งให้ลูกเรียน สูง ๆ เผื่อจะได้ฝากผีฝากไข้ในอนาคต ส่วนพี่ชายเดิมก็มีอาชีพอย่างผมนี้แหละ แต่หลังจากแต่งเมียแล้ว ก็ย้ายไปสกลนครเผอิญเจอพรรคพวกที่มีธุรกิจทำร้านอาหารเนื้อสวรรค์ เลยชวนไปประกอบธุรกิจโดยพี่ชายเป็นคนจัดหาเนื้อสุนัขมาส่งให้ที่ร้าน
ตั้งแต่ผมตกลงใจมา พี่ชายและผมก็ช่วยกันหาเนื้อสุนัขไปส่งที่ร้านที่พรรคพวกเขาทำอยู่และก็ขยายไปที่ร้านอื่น ๆ ในละแวกนั้นด้วยอีกหลายร้าน รายได้ก็งามทีเดียว พี่ชายผมเองทำธุรกิจนี้มาถึง 5 ปีแล้วก่อนที่ผมจะมา เริ่มจากการตระเวนจับสุนัขจรจัดมาชำแหละ นานเข้าก็เริ่มหายาก ก็ต้องตระเวนขอซื้อตามหมู่บ้าน หรือไม่ก็แอบจับตามวัดวาที่มีสุนัขจรจัดอาศัยอยู่เยอะ ๆ ผมเองถูกมอบหมายหน้าที่ให้เป็นผู้ขับรถตระเวนไปตามที่ต่าง ๆ บางทีแค่ 3 วัน บางทีก็เป็นอาทิตย์ ถึงจะได้สุนัขเต็มท้ายกระบะแล้วนำมาขุนไว้ในคอก เพื่อรอเวลาชำแหละไม่ก็ส่งขายเป็น ๆ เลย
ที่บ้านพี่ชาย พื้นที่รอบ ๆ ที่ว่างยังเป็นโรงฆ่าสัตว์ขนาดย่อม ๆ สำหรับทำหน้าที่ชำแหละแยกชิ้นส่วนไปขาย ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเพชรฆาตแต่ละวันตลอด 7 - 8 ปีที่ผ่านมาก็ไม่ใช้ใครอื่น พี่ชายและสหายรู้ใจอีก 3 คน วันใดหากผมอยู่บ้านไม่ได้ตระเวนไปหาสุนัข หลังเที่ยงคืนทุกวัน จะได้ยินเสียงสุนัขที่ถูกเชือดร้องโหยหวน เป็นที่เวทนาแทบทุกคืน แรก ๆ ผมถึงกับนอนไม่หลับเพราะทำใจไม่ได้ แต่หลังจากนั้นผมก็หาทางแก้โดยดื่มเหล้าให้เมาจะได้หลับไปเลย ไม่ต้องคิดอะไรมาก ในความรู้สึกลึก ๆ บอกตรง ๆ เลยว่า ไม่ค่อยชอบอาชีพนี้สักเท่าไร แม้ว่ารายได้จะดีมาก แต่ลองใจไม่ชอบยังไงมันก็ชอบไม่ได้ ก็กะว่าเก็บเงินได้สักก้อนแล้วจะเลิกกลับไปอยู่กับไร่นาที่บ้านดีกว่า อยู่กับลูกเมีย ได้ยันเสียงหัวเราะ ผิดกับที่นี้มีแต่เสียงโหยหวนและกลิ่นคาวเลือด ผมเองก็ไม่รู้ว่าพี่ชายแกทนทำอยู่ได้อย่างไรตั้ง 8 ปี ผมก็เลยลองถามไปว่า ไม่นึกสงสารหรือคิดว่ามันเป็นบาปบ้างหรือที่ต้องฆ่าสุนัขวันละหลายสิบตัว เขากลับหัวเราะแล้วเอ็ดตะโรผมว่า คิดอะไรวะไม่เข้าท่า ไม่เห็นเหรอว่าไอ้สุนัขพวกนี้มันทำเงินให้วัน ๆ เท่าไหร่ จะมานั่งคิดบาปบุญกันทำไม แล้วไอ้การฆ่าสุนัข ถามหน่อยเถอะ มันจะต่างอะไรกับการฆ่าหมู ฆ่าวัว ฆ่าปลาวะ มันก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่เห็นมีใครกลัวบาปสักกะคนเดียว เห็นมีแต่รวยเอา ๆ นั่นแหละไม่ว่า
คิด ๆ ไป คำพูดของพี่ชายผมก็มีส่วนถูกจริงอยู่เหมือนกัน เพราะพวกที่เป็นเจ้าของโรงฆ่าสัตว์ส่วนใหญ่ก็รวย ๆ กันทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครจนสักคน หรือว่าผมคิดมากไปเอง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ไอ้เสียงโหยหวนของมัน เสียงร้องยามถูกเชือด มันบาดตาบาดใจผมเหลือเกิน ตอนที่ไปเอามันออกมาจากอ้อมอกของเจ้าของ ซึ่งเขาก็รู้ว่าเราจะเอาไปทำอะไร สุนัขแต่ละตัวเหมือนจะรู้ชะตา ดิ้นหนีทุรนทุราย ทุกรายบางตัวขึ้นมาอยู่บนรถแล้ว ยังวิ่งพล่านกระโดดชนโครงเหล็กข้างรถ หัวหูแตกเลือดอาบก็มี พอถึงตอนจะลงจากรถ สายตามันจ้องมองดูผมยังกะว่าจะอาฆาตจองเวรผมไว้อีก อย่าให้ถึงทีพวกมันบ้างก็แล้วกัน ยิ่งได้เห็นพวกเพื่อนมันถูกจับมัดขา ดิ้นรนหนีมีดอันคมกริบที่กำลังจะบาดลึกลงไปในบริเวณคอ กระทั่งเลือดสด ๆ กระฉูดออกจากตัวจนแทบจะหมดนั่นแหละถึงจะหยุดดิ้น แล้วกระตุก สัก 2- 3 ทีก่อนจะตายอย่างน่าเวทนา แทบทุกตัวเวลาตาย ตานี้จะเหลือกโพลงจ้องมายังคนเชือดแทบถลน เล่นเอาลูกผู้ชายอย่างผมถึงกับเขาอ่อนเลยทีเดียว
เป็นไง ? ไอ้น้องอยากจะลองเชือดดูบ้างไหมวะ ? ลองสักตัวซีแล้วจะติดใจ ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า... พี่ชายสัพยอก ที่เห็นอาการเบ้หน้าของผม “
ไม่ดีกว่า ไปล่ะ จะไปหาเหล้ากรอกปากสักอึกแก้คลื่นไส้ โธ่...ทำเป็นใจเสาะเป็นปลาซิวไปได้ ฮ่า ๆๆ ” ผมได้ยินพี่ชายหัวเราะตามหลัง พร้อม ๆ กับเสียงโหยหวนของสุนัขอีกหลายตัว ที่ถูกเชือดรายต่อไป ภาพที่เห็น เสียงร้องที่ได้ยิน แม้จะบาดตาบาดใจบาดหูแค่ไหน ก็ยากจะเปลี่ยนแปลงไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ ก็ได้แต่ภาวนาในใจ แอบแผ่เมตตาไปให้กับพวกมันบ้างบางเวลา ส่วนตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบาปบุญมันจะมีจริงไหม ผลบุญจะส่งมันไปสู่สุคติได้จริงหรือเปล่า หรือแม้ตัวผมเองจะต้องชดใช้กรรมที่ทำลงไปอย่างไรบ้าง
หลังจากที่คลางแคลงใจอยู่นานผมก็ได้รู้และมั่นใจแล้วครับว่ากรรมมีจริง ซึ่งกว่าจะรู้ก็ทำงานอยู่กับเขาถึง 3 ปี กะว่าหน้าฝนจะกลับบ้านแล้ว ไม่เอาแล้ว เพราะอยู่ที่นี่ นานเข้ายิ่งขาดความสุข พี่ผมเองเขาคงไม่รู้ตัว นับวันเริ่มมีพฤติกรรมเหมือนคนบ้าขึ้นเรื่อย ๆ ที่บ้าเห็น ๆ ก็บ้าเงินและบ้าฆ่า เอาแต่นั่งนับเงินแล้วก็วางแผนจ้องจะฆ่าต่อไป นัยน์ตาลุกพองเหมือนสัตว์ร้ายที่จ้องจะขย้ำเหยื่อจนลูกเมียแม้แต่ผมเองก็เข้าหน้าไม่ติด จะด้วยเหตุผลนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ลูกเมียของเขาเลยแยกแตกไปคนละทิศละทาง เมียติดพนัน แล้วก็ไปมีชู้ ลูกสาว 2 คน 17 กับ 15ปี หนีเรียนจนถูกไล่ออก พี่ชายผมนะเหรอจะไปรู้อะไร วัน ๆ จะมีอะไรนอกจากฆ่าแล้วก็เงิน
กิจวัตรของพี่ชาย ก็เริ่มประมาณ เที่ยงคืน โดยจะลุกมาตรวจตราดูว่าจะฆ่าตัวไหน จากนั้นประมาณตี 2 เสียงโหยหวนก็เริ่มบรรเลงขึ้น พร้อม ๆ ก้บเสียงเห่ากันระงมของเพื่อนสุนัขด้วยกันที่เห็นเพื่อนตนถูกฆ่าไปต่อหน้าต่อตา ตะเบ็งเสียงไม่เป็นอันหลับอันนอน จนปาเข้าตี 4 - 5 เสียงจึงจะเงียบ เพราะเป็นเวลาชำแหละ และนำเนื้อออกสู่ตลาด ประมาณ 8 - 9 โมงแล้วเขาก็หลับ ตื่นอีกทีก็เย็น ๆ จากนั้นก็ดื่มเหล้านั่งวางแผนฆ่ากับเพื่อนรู้ใจอีก 3 คน ไปจนกว่าจะได้เวลาเชือด ชีวิตเขาก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ไม่รับรู้และสนใจว่าใครจะเป็นอย่างไร แม้กับผมเองระยะหลังก็แทบจะไม่ค่อยได้คุยกันแล้ว จะพูดจะคุยก็แค่ตอนเอาสุนัขมาส่งให้ หรือว่าเขาลืมไปแล้วว่าผมเป็นน้อง หรือจะพูดให้ถูก คือเขาลืมหมดแล้วความรู้สึกอื่น ๆ ที่มนุษย์พึงมี เช่น รัก เศร้า เหงา ห่วงหาอาทร ที่สำคัญคือความเมตตาปราณี เหลืออยู่ก็แต่ความกระหายที่มีต่อเลือด การฆ่า และเงินเท่านั้น
และแล้ววันที่เพชฌฆาตอย่างพี่ชายผมต้องรับกรรมก็มาถึง คือขณะที่แกกำลังเดินเลือกหาสุนัขเหมือนทุกวัน จากนั้นก็ไปจับออกมาทีหลังตัวเอามาขังไว้ต่างหาก ระหว่างจับนั้นเองแกถูกสุนัขตัวหนึ่งกระโจนเข้าขย้ำ แถมโดนตัวอื่นรุมสกรัม กว่าจะห้ามและจับแยกได้ เล่นเอาถูกกัดซะจนเหวอะไปทั้งตัว ด้วยความที่โกรธผสมแค้นที่ถูกรุม พี่ชายผมเลยจับสุนัขในกรงนั้นเชือดฆ่าเกลี้ยง เอาเลือดสด ๆ ที่ได้มาดื่มอย่างเอร็ดอร่อย แถมควักหัวใจสด ๆ มากินแกล้มเหล้าเป็นที่สะอิดสะเอียน ด้วยความที่เป็นห่วงผมเลยเข้าไปพูดเตือนพี่ว่า มันไม่น่าดู เดี๋ยวลูกค้ามาเห็นเข้า เขาจะรังเกียจได้นะ แล้วยังมีแผลอีก ควรไปหาหมอฉีดยากันบาดทะยัก หรือพิษสุนัขบ้า กันไว้ดีกว่านะ
พี่ชายผมกลับไม่ใยดีในคำเตือน เขาบอกว่าแผลเล็กน้อยแค่นี้ไกลหัวใจ คนอย่างเขาดวงแข็ง หมากัดแค่นี้ไม่ตาย แถมยังได้ยาบำรุงกำลังชั้นเลิศอย่างเลือดสด และหัวใจสด ๆ แค่นี้ก็หายห่วง
ความหวั่นใจของผมเป็นจริงเมื่อเจ็ดวันให้หลัง พี่ชายเริ่มมีอาการตาขวาง น้ำลายฟูมปาก แล้วก็ร้องโหยหวน และน่าประหลาดใจมาก เสียงที่ร้องไม่ผิดกันเลยกับเสียงสุนัขที่พี่เขาเชือด ต่อมาอาการเริ่มคลุ้มคลั่งรุนแรงขึ้นทุกที ทั้งกัดทั้งข่วนจากนั้นก็เริ่มทำร้ายคนที่เข้าใกล้ โดยมีอาการเหมือนสุนัขบ้าที่จะเข้าไปกัดคนยังไงยังงั้น พี่ผมจึงถูกจับขังกรงไว้
จากนั้นพี่ก็เริ่มคลุ้มคลั่งมากขึ้น แกจะวิ่งเอาหัวชนกรงที่ขังจนหัวหูแตกยับเยิน เลือดไหลอาบเกรอะกรัง มือไม้เหมือนกันตะกุยตะกายพื้นไปทั่ว พูดไม่รู้เรื่อง เอาแต่เห่าหอน ข้าวปลาไม่กิน โดยเฉพาะน้ำ จะไม่กล้าเข้าใกล้เลย แกเริ่มหมดแรงเพราะร่างกายไม่มีอาหารหล่อเลี้ยง พอวันที่สี่ก็เริ่มนอนซมร้องครวญคราง แต่ก็ยังมีแรงวิ่งเข้าไปขย้ำคนที่เข้าไปใกล้ ตามร่างกายมีแต่แผลทั้งที่เลือดยังซิบ ๆ และตกสะเก็ด ยิ่งดูยิ่งเหมือนสุนัขขี้เรื้อนที่นอนรอความตาย
กระทั่งวันที่เจ็ด เวลาประมาณ 5 โมงเย็น ลมหายใจของพี่ชายผมเริ่มจะแผ่วเบาก่อนจะกระตุกเฮือก 2 - 3 ครั้ง ผมเฝ้ามองดูจนแน่ใจว่าไม่รอด หมดลมหายใจแน่แล้ว จึงได้เปิดประตูกรงแล้วเข้าไปหา ไปดีเถอะนะพี่ สิ้นเวรสิ้นกรรมเสียที ผมเอามือลูบหน้าให้ตาที่เหลือกโพลงของเขาปิดลง ก่อนจะเรียกลูกเมียเข้าไปดูและจัดการเรื่องงานศพซึ่งก็เป็นไปอย่างเร่งรัดที่สุด เพราะสภาพศพแม้จะเพิ่งตายก็เหมือนตายมาหลายวันส่งกลิ่นเหม็นเน่า อีกอย่าง ลูกเมียเขาก็อยากให้มันจบ จบ ไปสักที ต่างคนต่างจะได้ไปใช้ชีวิตอิสระเสียทีตามทางของแต่ละคน เมียก็หอบข้าวหอบของไปอยู่กับชู้รัก ลูกก็ขอเงินแม่มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ ลูกมือพี่ชายอีก 2 -3 คน หลังจากเห็นเหตุการณ์ถึงกับเตลิดหนี ไม่หวนกลับมาทำงานอีกเลย
ผมเองก็กลับบ้านกลับไปอยู่กับลูกกับเมีย เงินเปื้อนเลือดที่ได้มาก็เอาไปบริจาคทำบุญ เผื่อจะล้างบาปให้ตัวเองได้ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะถึงคราวชดใช้กรรมของผมเองบ้าง
อ่านแล้วรู้สึกคิดเห็นอย่างไรเชิญบรรเลงได้
|
เจ้าของไดอารี่
ความสนใจ:
เพลง, ภาพยนต์, คอมพิวเตอร์, อินเตอร์เน็ต, แชต/หาเพื่อน/หาแฟน, เกมส์, หนังสือ, กล้อง, โทรศัพท์มือถือ, ท่องเที่ยว, การ์ตูน, นิยาย/งานเขียน, การศึกษา, กีฬา, ความงาม/สุขภาพ, อาหาร, แฟชั่น/ช๊อปปิ้ง, เทคโนโลยี, สัตว์เลี้ยง, ของแต่งบ้าน, ประวัติศาสตร์, การเมือง, หางาน, ศาสนา
อา. |
จ. |
อ. |
พ. |
พฤ. |
ศ. |
ส. |
| | | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
สถิติผู้เยี่ยมชม
ผู้เยี่ยมชมวันนี้ 2 คน
ผู้เยี่ยมชมทั้งหมด 67,554
|
|