หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
ดูรายการโปรด เพิ่มเป็นรายการโปรด

ณ มุมนึง[ความรัก..เวลา..อาหาร]

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2552


เคยมีคนถามฉันว่า เราควรใช้ระยะเวลานานแค่ไหน ในการตัดสินใจเรียกมิตรภาพดี ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคนว่าคือ “ ความรัก ”


ฉันว่า ... มันค่อนข้างเป็นเรื่องยากที่จะใช้เวลา มาเป็นตัวกำหนดเกณฑ์มาตรฐานสำหรับความรู้สึกนั้น
มันไม่เหมือนกับการที่เราหยอดกระปุกออมสิน เพื่อเก็บเงินสักก้อนหนึ่ง สำหรับของชิ้นหนึ่งที่อยากได้ ถ้าเรารู้ราคาของชิ้นนั้น เราก็จะรู้ว่า “ พอ ” เมื่อเวลามาถึง


แต่สำหรับความรัก เวลาอาจช่วยสะสมความรู้สึกได้ก็จริง แต่สำหรับคำว่า “ พอ ” แล้วนั้น ฉันเชื่อว่าแต่ละคนใช้เวลาที่ต่างกัน


.....
....
...



นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่เรารู้จักกัน ” เป็นคำถามที่ฉันเลือกเพื่อเปิดประเด็นสนทนาตามที่ได้ตั้งใจไว้

ประโยคนั้นได้หลุดออกไปโดยไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย กรับ โหม่ง ระนาด ขิม ซอด้วง หรือแม้แต่ ฉิ่ง ที่เป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะชิ้นสำคัญ (ฉันนึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ทำไมต้องเป็นปี่ กับ ขลุ่ยด้วย เป็นตะโพนกับรำมะนา หรือ ฆ้องวงเล็กกับฆ้องวงใหญ่ ไม่ได้หรืออย่างไร)


แน่นอนว่าคำถามของฉันที่ไร้ซึ่งเครื่องดนตรีใด ๆ นั้น ทำปฏิกิริยากับความรู้สึกของคนที่ถูกถามได้เป็นอย่างดี


“ เอ๋ .... ? ? ?

“ []1[]เดือน นะ...อืมมม หรือมากกว่านั้น ”


ความตั้งใจของฉันก็คือ พยายามให้โอเว่อร์เข้าไว้ ยิ่งจำนวนปีมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งโอเวอร์ดี (ความคิดนี้คงได้รับคำสั่งมาจากสมองซีกจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ แต่ยังไม่ทันไรสมองในซีกตรงข้ามก็แสดงอำนาจออกมาบ้างว่า ให้คิดถึงความสมเหตุสมผลหน่อย ให้มีความเป็นไปได้น่ะ ว่าเราไม่แน่ใจจริง ๆ โอเว่อร์มาก ๆ เดี๋ยวเค้าก็ทันมุขหรอก) สุดท้ายสมองทั้งสองซีกก็แสดงฉันทามติที่จำนวนดังกล่าวข้างต้น


ได้ผล !! เขานิ่งไปครู่หนึ่ง คงนั่งคิดนับเลขอยู่ในใจ และตรึกตรองจนมั่นใจว่า เขาไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์ แต่ก็คงสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าเหตุใดฉันถึงถามอย่างนี้



“ นั่นสินะ นานเท่าไหร่แล้วล่ะ ”



“ ที่ถามน่ะ ไม่ใช่ว่าลืมหรอกนะว่านานเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ตัวเลขที่แน่นอนก็เถอะ ” ฉันยังคงพยายามใส่ความฉงน (เอ่ยคำนี้ทีไร ทำให้นึกถึงควายน้อย ที่เป็นหนึ่งในสมาชิกรายการเจ้าขุนทองทุกที) ต่อไป


“ []1[] เดือนได้แล้วมั้ง ” เขาตอบ ฉันอดกระหยิ่มอยู่ในใจไม่ได้ว่า ผู้ชายคนนี้ก็ใส่ใจที่จะจำเหมือนกัน


“ แต่ทำไมถึงรู้สึกว่า เหมือนรู้จักกันมานานกว่านั้นล่ะ ”

“ บางอย่างการที่ใช้เวลานาน ไม่ได้หมายความว่าจำเป็นต้องดี ถ้าใช้เวลาน้อยแล้วจะไม่ดี บางทีการที่ใช้เวลาน้อยก็ดีได้ อยู่ที่ความเข้าใจมากกว่า “ เขายังไม่วายหาทางหยอดคำหวาน


ฉันพยายามคิดตามและหาตัวอย่างมาประกอบ เพื่อสนับสนุนคำพูดนั้น .....
เวลาน้อย = = > เข้าใจ = = > ดี
ใช้เวลามาก = = > เข้าใจ = = > ก็ดี (แต่น้อยกว่าข้อแรก)
ใช้เวลาน้อย = = > ไม่เข้าใจ = = > ปกติ
ใช้เวลามาก = = > ไม่เข้าใจ = = > อปกติ (ควรปรับปรุงทั้งผู้รับสารและผู้ส่งสาร)


“ อืมมม อย่างเช่นวิชาเลขใช่มั้ย" ฉันพยายามนำเสนอ ตรรกะ ที่คิดได้

“ เอ๋ ... ? ? "


“ ก็บางคนใช้เวลาแป๊บเดียวในการทำความเข้าใจกับวิธีการแก้โจทย์ปัญหา 1 ข้อ ครูอธิบายครั้งเดียวก็เข้าใจแล้ว แต่บางคนนะใช้เวลาตั้งนานกว่าจะเข้าใจ ต้องอธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีกหลาย ๆ รอบ ซ้ำร้ายนะอาจจะเจอพวกที่ไม่เข้าใจเลยก็ได้ "


“ ฮะ ฮะ อืมมม...เข้าใจคิดนะ แต่ผมชอบวิชาฟิสิกส์มากกว่าเลขนะ ”


“ เหรอคะ ไม่ชอบเลขเหมือนกันเลยค่ะ จุ๊..จุ๊.. ความลับนะคะ ตอนเรียนตกเลขเกือบทุกเทอมเลย มีแต่ 0 กับ 1 "


“ ผมก็เหมือนกัน ทำเลขได้ไม่ดี ทำฟิสิกส์ได้ดีกว่า "


“ แต่เอ... ฟิสิกส์ก็ต้องใช้เลขเป็นพื้นฐานนี่นา ?? "


“ ก็ฟิสิกส์น่ะ ต้องเอามาประยุกต์ใช้ไง "


“ อ๊ะ !! เดี๋ยวก่อน ตอนแรกเราไม่ได้คุยเรื่องเรียนกันนี่นา เมื่อกี้เรายังซึ้ง ๆ กันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ "


“ ฮะ ฮะ ไม่รู้สิ บทสนทนามันพาไปมั้ง "


ฉันคิดอยู่เสมอว่า ไม่น่าเชื่อว่าความรักจะให้ความหวานได้ขนาดนี้ แต่ในความหวานนั้นก็ไม่ได้ทำให้เลี่ยนจนเกินไป มันมีทางออกของตัวเองที่จะไม่ใส่อย่างใดอย่างหนึ่งมากไปนัก แต่ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับคนสองคนที่จะทำความรักให้มีรสแบบใด


หากเปรียบความรักเป็นอาหาร ก็คงจะมีหลายรสชาติให้ลิ้มลอง อาหารแต่ละอย่างก็มีรสชาติแตกต่างกันไป บ้างก็ต้องหวานนำ บ้างก็ต้องเปรี้ยวตาม บางทีก็ต้องเผ็ดหน่อย หรืออาจมีความมันของกะทิรวมอยู่ด้วย


ความรักสำหรับบางคู่ก็เป็นอาหารจานหลักที่ต้องกินทุกครั้งเมื่อถึงมื้ออาหาร กินแล้วอิ่มไปอีกนาน บางคู่ก็เป็นดั่งอาหารว่าง ที่ไม่ต้องอิ่มท้องมากนัก เบา ๆ สบาย ๆ แต่ก็ขาดได้ยากเหมือนกัน หรืออาจจะเป็นขนมหวาน ที่กินแล้วอิ่มเอมใจ ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เพราะสูงด้วยน้ำตาล แต่ไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดใด ถ้าจะให้อร่อยถูกใจก็ต้องมีรสชาติที่กลมกล่อมถูกปากตามความชอบของแต่ละคน


และที่สำคัญ เวลาที่ใช้ในการปรุงอาหารของแต่ละคนก็ย่อมไม่เหมือนกัน แต่ที่แน่นอนก็คือความใส่ใจในการปรุงอาหาร ย่อมจะได้อาหารที่มีคุณภาพ ถูกสุขลักษณะ ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค


ขอให้มีความสุขกับการรับประทานอาหารของแต่ละคนนะคะ




 

เจ้าของไดอารี่

กำลังทำอะไรอยู่
ไม่ได้อัพเดทสถานะมาช่วงหนึ่งแล้ว
627 วันที่ผ่านมา

ณ มุมนึง มุมมอง
ความสนใจ:
เพลง, ภาพยนต์, กล้อง, ของแต่งบ้าน
<<กุมภาพันธ์ 2552>>
อา. จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728

ไดอารี่วันอื่นๆ

26 มิถุนายน 2552
29 ธันวาคม 2551
11 พฤศจิกายน 2551
7 กรกฎาคม 2551

สถิติผู้เยี่ยมชม

ผู้เยี่ยมชมวันนี้ 4 คน
ผู้เยี่ยมชมทั้งหมด 28,499

ไดอารี่เพื่อนบ้าน

ณ มุมนึง มุมมอง ยังไม่มีไดอารี่เพื่อนบ้าน

อัลบัมโหวตของ ณ มุมนึง มุมมอง

ไดอารี่ที่อัพเดทล่าสุด

โดย พงษ์ศักดิ์ หิรัญเขต
<SCRIPT LANGUAGE="JavaScript1.2"> </SCRIPT> </script> <meta http-equiv="Content-Language" content="th"> <meta name="GENERATOR" content="Microsoft FrontPage 5.0"> <meta name="ProgId" content="FrontPage.Editor.Document"> <meta http-equiv="Content-Type" content="text/html; charset=windows-874"> <script language="JavaScript1.2"> if (document.all) document.body.style.cssText="border:15 inset #000000" </script>
';