เคยมีคนถามฉันว่า เราควรใช้ระยะเวลานานแค่ไหน ในการตัดสินใจเรียกมิตรภาพดี ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคนว่าคือ ความรัก
ฉันว่า ... มันค่อนข้างเป็นเรื่องยากที่จะใช้เวลา มาเป็นตัวกำหนดเกณฑ์มาตรฐานสำหรับความรู้สึกนั้น
มันไม่เหมือนกับการที่เราหยอดกระปุกออมสิน เพื่อเก็บเงินสักก้อนหนึ่ง สำหรับของชิ้นหนึ่งที่อยากได้ ถ้าเรารู้ราคาของชิ้นนั้น เราก็จะรู้ว่า พอ เมื่อเวลามาถึง
แต่สำหรับความรัก เวลาอาจช่วยสะสมความรู้สึกได้ก็จริง แต่สำหรับคำว่า พอ แล้วนั้น ฉันเชื่อว่าแต่ละคนใช้เวลาที่ต่างกัน
.....
....
...
นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่เรารู้จักกัน เป็นคำถามที่ฉันเลือกเพื่อเปิดประเด็นสนทนาตามที่ได้ตั้งใจไว้
ประโยคนั้นได้หลุดออกไปโดยไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย กรับ โหม่ง ระนาด ขิม ซอด้วง หรือแม้แต่ ฉิ่ง ที่เป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะชิ้นสำคัญ (ฉันนึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ทำไมต้องเป็นปี่ กับ ขลุ่ยด้วย เป็นตะโพนกับรำมะนา หรือ ฆ้องวงเล็กกับฆ้องวงใหญ่ ไม่ได้หรืออย่างไร)
แน่นอนว่าคำถามของฉันที่ไร้ซึ่งเครื่องดนตรีใด ๆ นั้น ทำปฏิกิริยากับความรู้สึกของคนที่ถูกถามได้เป็นอย่างดี
เอ๋ .... ? ? ?
[]1[]เดือน นะ...อืมมม หรือมากกว่านั้น
ความตั้งใจของฉันก็คือ พยายามให้โอเว่อร์เข้าไว้ ยิ่งจำนวนปีมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งโอเวอร์ดี (ความคิดนี้คงได้รับคำสั่งมาจากสมองซีกจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ แต่ยังไม่ทันไรสมองในซีกตรงข้ามก็แสดงอำนาจออกมาบ้างว่า ให้คิดถึงความสมเหตุสมผลหน่อย ให้มีความเป็นไปได้น่ะ ว่าเราไม่แน่ใจจริง ๆ โอเว่อร์มาก ๆ เดี๋ยวเค้าก็ทันมุขหรอก) สุดท้ายสมองทั้งสองซีกก็แสดงฉันทามติที่จำนวนดังกล่าวข้างต้น
ได้ผล !! เขานิ่งไปครู่หนึ่ง คงนั่งคิดนับเลขอยู่ในใจ และตรึกตรองจนมั่นใจว่า เขาไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์ แต่ก็คงสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าเหตุใดฉันถึงถามอย่างนี้
นั่นสินะ นานเท่าไหร่แล้วล่ะ
ที่ถามน่ะ ไม่ใช่ว่าลืมหรอกนะว่านานเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ตัวเลขที่แน่นอนก็เถอะ ฉันยังคงพยายามใส่ความฉงน (เอ่ยคำนี้ทีไร ทำให้นึกถึงควายน้อย ที่เป็นหนึ่งในสมาชิกรายการเจ้าขุนทองทุกที) ต่อไป
[]1[] เดือนได้แล้วมั้ง เขาตอบ ฉันอดกระหยิ่มอยู่ในใจไม่ได้ว่า ผู้ชายคนนี้ก็ใส่ใจที่จะจำเหมือนกัน
แต่ทำไมถึงรู้สึกว่า เหมือนรู้จักกันมานานกว่านั้นล่ะ
บางอย่างการที่ใช้เวลานาน ไม่ได้หมายความว่าจำเป็นต้องดี ถ้าใช้เวลาน้อยแล้วจะไม่ดี บางทีการที่ใช้เวลาน้อยก็ดีได้ อยู่ที่ความเข้าใจมากกว่า เขายังไม่วายหาทางหยอดคำหวาน
ฉันพยายามคิดตามและหาตัวอย่างมาประกอบ เพื่อสนับสนุนคำพูดนั้น .....
เวลาน้อย = = > เข้าใจ = = > ดี
ใช้เวลามาก = = > เข้าใจ = = > ก็ดี (แต่น้อยกว่าข้อแรก)
ใช้เวลาน้อย = = > ไม่เข้าใจ = = > ปกติ
ใช้เวลามาก = = > ไม่เข้าใจ = = > อปกติ (ควรปรับปรุงทั้งผู้รับสารและผู้ส่งสาร)
อืมมม อย่างเช่นวิชาเลขใช่มั้ย" ฉันพยายามนำเสนอ ตรรกะ ที่คิดได้
เอ๋ ... ? ? "
ก็บางคนใช้เวลาแป๊บเดียวในการทำความเข้าใจกับวิธีการแก้โจทย์ปัญหา 1 ข้อ ครูอธิบายครั้งเดียวก็เข้าใจแล้ว แต่บางคนนะใช้เวลาตั้งนานกว่าจะเข้าใจ ต้องอธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีกหลาย ๆ รอบ ซ้ำร้ายนะอาจจะเจอพวกที่ไม่เข้าใจเลยก็ได้ "
ฮะ ฮะ อืมมม...เข้าใจคิดนะ แต่ผมชอบวิชาฟิสิกส์มากกว่าเลขนะ
เหรอคะ ไม่ชอบเลขเหมือนกันเลยค่ะ จุ๊..จุ๊.. ความลับนะคะ ตอนเรียนตกเลขเกือบทุกเทอมเลย มีแต่ 0 กับ 1 "
ผมก็เหมือนกัน ทำเลขได้ไม่ดี ทำฟิสิกส์ได้ดีกว่า "
แต่เอ... ฟิสิกส์ก็ต้องใช้เลขเป็นพื้นฐานนี่นา ?? "
ก็ฟิสิกส์น่ะ ต้องเอามาประยุกต์ใช้ไง "
อ๊ะ !! เดี๋ยวก่อน ตอนแรกเราไม่ได้คุยเรื่องเรียนกันนี่นา เมื่อกี้เรายังซึ้ง ๆ กันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ "
ฮะ ฮะ ไม่รู้สิ บทสนทนามันพาไปมั้ง "
ฉันคิดอยู่เสมอว่า ไม่น่าเชื่อว่าความรักจะให้ความหวานได้ขนาดนี้ แต่ในความหวานนั้นก็ไม่ได้ทำให้เลี่ยนจนเกินไป มันมีทางออกของตัวเองที่จะไม่ใส่อย่างใดอย่างหนึ่งมากไปนัก แต่ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับคนสองคนที่จะทำความรักให้มีรสแบบใด
หากเปรียบความรักเป็นอาหาร ก็คงจะมีหลายรสชาติให้ลิ้มลอง อาหารแต่ละอย่างก็มีรสชาติแตกต่างกันไป บ้างก็ต้องหวานนำ บ้างก็ต้องเปรี้ยวตาม บางทีก็ต้องเผ็ดหน่อย หรืออาจมีความมันของกะทิรวมอยู่ด้วย
ความรักสำหรับบางคู่ก็เป็นอาหารจานหลักที่ต้องกินทุกครั้งเมื่อถึงมื้ออาหาร กินแล้วอิ่มไปอีกนาน บางคู่ก็เป็นดั่งอาหารว่าง ที่ไม่ต้องอิ่มท้องมากนัก เบา ๆ สบาย ๆ แต่ก็ขาดได้ยากเหมือนกัน หรืออาจจะเป็นขนมหวาน ที่กินแล้วอิ่มเอมใจ ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เพราะสูงด้วยน้ำตาล แต่ไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดใด ถ้าจะให้อร่อยถูกใจก็ต้องมีรสชาติที่กลมกล่อมถูกปากตามความชอบของแต่ละคน
และที่สำคัญ เวลาที่ใช้ในการปรุงอาหารของแต่ละคนก็ย่อมไม่เหมือนกัน แต่ที่แน่นอนก็คือความใส่ใจในการปรุงอาหาร ย่อมจะได้อาหารที่มีคุณภาพ ถูกสุขลักษณะ ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
ขอให้มีความสุขกับการรับประทานอาหารของแต่ละคนนะคะ